เมืองไทย 360 องศา
หวังว่าเป็นเพราะความเหนื่อยหล้าอ่อนเพลียจากกำหนดการประชุมพบปะกับบุคคลต่างๆ ระหว่างไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียน-สหรัฐฯ วาระพิเศษ ที่สหรัฐอเมริกาจนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวเสนอแนะให้มีการ “ตั้งเวทีดีเบต” ให้เอาพระทั้งสองฝ่ายมาดีเบตให้ประชาชนฟังดูเหตุผลว่าเป็นอย่างไร เป็นการหาทางออกแก้ปัญหาความขัดแย้งในเวลานี้
ท่าทีดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สัมภาษณ์ที่สหรัฐอเมริกาถึงแนวทางในการแก้ปัญหาในเรื่องปมปัญหาและความขัดแย้งเกี่ยวกับการแต่งตั้งพระสังฆราชพระองค์ใหม่ เพราะหากทำแบบนี้ก็ถือว่าพิลึกกึกกือ เป็นการปัดความรับผิดชอบอย่างที่ไม่สมควรให้อภัยได้เลย หากเขาคิดว่าการตั้งเวทีดีเบตหรือการนำบุคคลที่คิดว่าเป็นคู่กรณี คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายมา “โต้วาที” หรือมาอภิปรายต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศแล้วคิดว่านี่คือการแก้ปัญหา เป็นการหาทางออกอย่างนั้นหรือ คำถามก็คือ หากในตอนนั้นซึ่งเวลานี้ก็มี พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐมที่คิดเข้าร่วมเวทีแบบนี้เกิด “พูดชนะ” ขึ้นมาก็หมายความว่าไม่มีการเสนอ “สมเด็จช่วง” สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ขึ้นเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่อย่างนั้นหรือ
ในทางตรงกันข้าม หากอีกฝ่ายหนึ่งส่งตัวแทนมาดีเบตแล้วยกเหตุผล พูดจาน่าฟัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องเสนอสมเด็จช่วงขึ้นไปใช่หรือไม่ วิธีคิดแบบนี้มันก็ชวนหัวร่อ ว่านี่คือวิธีการที่หยุดความขัดแย้งอย่างนั้นหรือ
วิธีการแบบนี้ที่จริงมันก็ไม่ต่างจากระบบคิดที่บอกว่า “ผมมาจากการเลือกตั้ง” ของพวกทักษิณ ชินวัตร ที่อ้างว่าจะมาสอบสวนเอาผิดกับพวกเขาไม่ได้ เพราะเขาอ้างว่ามาจากประชาชน หากทำผิดก็ต้องให้ประชาชนตัดสินเท่านั้น ซึ่งก็ตรรกะใหม่ที่บอกว่า “ใช้เสียงข้างมากมาตัดสินความถูกผิด” แทนที่จะเป็นศาลหรือพยานหลักฐานมาหักล้างกัน และก็ไม่ต่างกับกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มักชอบพูดว่า “บ้านเมืองมีความขัดแย้ง” และเขากับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาแก้ไขอยู่ในเวลานี้ ทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งดูเผินๆแล้วมันอาจจะใช่ แต่ลองพิจารณาในรายละเอียดสักนิดสิว่ามันใช่หรือเปล่า ว่ามวลมหาประชาชนที่ออกมาเป็นเรือนล้านนั้นมาจากอะไร ไม่ใช่ชาวบ้านเขาทนไม่ไหวที่รัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ ชินวัตร ออกกฎหมาย “ลักหลับ” ลบล้างความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง อีกทั้งปัญหาวุ่นวายในบ้านเมืองที่ผ่านมาเป็นเพราะทั้งรัฐบาลและข้าราชการไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ หรือละเว้น ต่างหาก
วกมาที่กรณีปมปัญหาในการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่ามีปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้นำฝ่ายบริหารที่อำนาจสูงสุดในมือก็ต้องหาทางคลี่คลายปัญหา ภายใต้กฎหมาย และความเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งสำคัญที่มีความละเอียดอ่อน เกี่ยวข้องกับความศรัทธา ความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทิน
ที่สำคัญการเสนอชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่ คนละเรื่องกับการเลือกตั้ง ที่ต้องมีการดีเบตของตัวแทนแต่ละฝ่าย มาขึ้นเวทีประชันฝีปากกัน ดังนั้นจึงหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ อาจะเป็นการพูดเล่นๆ แบบหลุดปากออกมา
อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีของ “สมเด็จช่วง” หากพิจารณาจากความเป็นจริงในเวลานี้ต้องถือว่าออกนอกเส้นทางแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกมาระบุความผิดเกี่ยวกับกรณีครอบครองรถเบนซ์โบราณมิชอบ และล่าสุด พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแถลงเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ว่า กระบวนการครอบครองและได้มาของรถดังกล่าวไม่ถูกต้องทุกขั้นตอนตั้งแต่การนำเข้า การจดประกอบ การเสียภาษี รวมทั้งการปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และที่สำคัญมีชื่อของ “สมเด็จช่วง” ปรากฏเกี่ยวข้องอีกด้วย
กรณีที่เกิดขึ้นย่อมเกี่ยวข้องกับคดีอาญา ดังนั้นอย่าว่าแต่ตำแหน่งสำคัญทางสงฆ์เลย เรื่องของฆราวาสหากมีปัญหาแบบนี้ก็ต้องเคลียร์ให้หมดจดเสียก่อน และสำหรับตำแหน่งพระสังฆราชยิ่งต้องไม่มีความด่างพร้อย ไม่มีมลทิน ไม่มีสัญลักษณ์ของของการ “สะสมกิเลส” ให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกี่ยวข้องเฉพาะในทางกฎหมาย แต่ต้องพิจารณากันถึงเรื่องอื่นๆประกอบด้วย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถใช้ความรอบคอบเหมาะสมใช้อำนาจคลี่คลายได้ แต่ไม่ใช่การเปิดเวทีให้ดีเบตกันอย่างเด็ดขาด!!