รองประธาน สปท.ย้ำช่วงเปลี่ยนผ่านต้องมีกลไกป้องกันวิกฤตการเมืองซ้ำรอย ต้องระบุเวลาให้ชัดเจน ส่วนเนื้อหาหลัก รธน.ควรเป็น ปชต.มากที่สุด ท้ายสุดต้องฟังเสียง ปชช. รับทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ รธน. มองระบบเลือกตั้งไม่ตอบโจทย์แก้ทุจริต ย้อนบทเรียนอย่าเสี่ยงอะไรใหม่ วอนอย่าใช้เฮตสปีชกล่าวหากัน ให้นำเสนอข้อมูลจะรับหรือไม่รับ
วันนี้ (15 เม.ย.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คนที่ 1 กล่าวถึงคำถามพ่วงประชามติที่เปิดช่องให้ ส.ว.ร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ว่าต้องยอมรับความจริงว่าความเห็นของแม่น้ำ 4 สาย ที่ส่งถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้รับการตอบสนองเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่ง สปท.และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ 5 สายก็มีความเห็นว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตย ยังมีความจำเป็นต้องมีกลไกป้องกันวิกฤตทางการเมืองที่อาจเกิดซ้ำรอยขึ้น เพราะขณะนี้แม่น้ำสายต่างๆ ยังไม่มั่นใจ ซึ่งท่าทีของพรรคการเมืองหลักๆยังไม่เป็นมิตรต่อกัน ยังเหมือนก่อนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 จึงเป็นที่มาของการเสนอคำถามพ่วงลักษณะดังกล่าว
นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าเนื้อหาหลักของรัฐธรรมนูญควรเขียนบนพื้นฐานประชาธิปไตยให้เป็นที่ยอมรับมากที่สุด ขณะที่กลไก และมาตรการในช่วงเปลี่ยนผ่านก็ควรเขียนไว้ในบทเฉพาะกาลให้ชัดเจนถึงระยะเวลา เพื่อป้องกันความสับสนจนอาจถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ แต่ทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะตัดสินใจอย่างไร หากประชาชนเห็นว่าไม่เหมาะสม ส.ว.ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกฯ ก็ต้องยอมรับความเห็นประชาชน
เมื่อถามว่า พอใจเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฉบับก่อนทำประชามติแค่ไหน นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ส่วนตัวมีประเด็นที่ถูกใจกับที่ไม่เห็นด้วย สำหรับประเด็นที่ไม่เห็นด้วย อาทิ ระบบเลือกตั้ง เพราะด้วยประสบการณ์การเลือกตั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตนคิดว่าระบบเลือกตั้งที่ กรธ.ออกแบบนั้นยังไม่ตอบโจทย์ปัญหาการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน เพราะระบบนี้จะทำให้อิทธิพลของทุนทางการเมืองมีสูงมากกว่าในอดีต ใครที่บอกว่าพรรคการเมืองขนาดกลาง ขนาดเล็กจะได้เปรียบนั้นเป็นลับลวงพราง เพราะนี่เป็นระบบที่เอื้อให้แก่พรรคขนาดใหญ่ การเลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียวจะทำให้คนในภาคใต้หรือภาคอีสานตัดสินใจง่ายขึ้นกว่าอดีต ที่อาจจะเลือก ส.ส.แบบเขต กับพรรคไม่เหมือนกัน จึงเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้มีทุจริตมากขึ้นกว่าเดิม และจะเป็นจุดวิกฤตต่อไปด้วย ทั้งนี้ ตนคิดว่า วิธีการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นบทเรียนว่า ประเทศไม่ใช้หนูอย่านำไปเสี่ยงกับระบบที่ไม่ทราบว่าผลจะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรมาทดลองในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะหากผ่านช่วงนี้ไปไม่ได้อาจกลับมาเป็นวิกฤตซ้ำขึ้นอีกก็เป็นได้ ส่วนตัวจะให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้ผ่านหรือไม่ ตนก็จะไปใช้สิทธิในวันที่ 7 ส.ค.นี้
เมื่อถามถึงการรณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อลงประชามติ นายอลงกรณ์กล่าวว่า การสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้ประชาชนรับรู้สาระของร่างรัฐธรรมนูญสำคัญมาก เพราะจะมีผลต่อการทำประชามติว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ซึ่งพื้นที่การสื่อสารวันนี้เปิดกว้างมาก โดยเฉพาะ โซเซียลมีเดีย ที่เปิดกว้างจนไร้การปิดกั้นแล้ว ซึ่ง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระเป็นผู้รับผิดชอบ จึงคิดว่าคงยึดหลักการเปิดกว้าง แต่ก็ต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่าใช้เฮตสปีชกล่าวหากันเพื่อมุ่งทำลายความได้เปรียบทางการเมือง แต่ขอให้นำเสนอความเห็นข้อมูลที่มีคุณภาพ จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพราะอะไร ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเหตุอะไรที่ กกต.จะไม่เปิดพื้นที่ และหากต้องการให้ สปท.ช่วยรณรงค์เรื่องการปฏิรูป และยุทธศาสตร์ชาติเราก็พร้อมให้ความร่วมมือ