“ประวิตร” ตอกมะกันแส่ เบรกทหารใช้อำนาจ ระบุเป็นปัญหาภายในประเทศไทยที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น ทหารรู้ควรทำอะไรแค่ไหน ให้ ก.ต่างประเทศชี้แจงแล้ว โนคอมเมนต์คำถามพ่วงประชามติ บอกเป็นเรื่องของ สนช.พิจารณา เผยเชิญอดีต ส.ส.แจกขันแดงเข้าค่ายอบรมเป็นเรื่อง คสช.จังหวัด ยันไม่ป้องครูฝึก พร้อมเล่นงานทั้งวินัย-อาญา ฐานทำพลทหารเสียชีวิต ขณะเดียวกันสั่งผู้บังคับบัญชาควบคุมใกล้ชิด รับจับตาชาวอุยกูร์-เชเชน เข้าไทยใกล้ชิด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้ทหารอย่าใช้อำนาจมากเกินความจำเป็นว่า เรื่องนี้เป็นการทำงานภายในประเทศของเรา ทหารเองก็รู้ว่าควรทำอย่างไร แค่ไหน อะไรที่ทำเกินเลยก็ต้องถูกลงโทษไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ แล้วจะไปใช้อำนาจโดยที่มิชอบ คงรับไม่ได้ ปัจจุบันนี้โซเซียลมีเดียเร็วมาก ทำเรื่องไม่ดีแป๊บเดียวก็รู้กันหมดแล้ว
“ผมขอย้ำว่าการแก้ปัญหาเป็นเรื่องภายในประเทศ ในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เราต้องการที่จะให้สิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีที่เป็นสีเทาสีดำทั้งหลาย พยายามให้หมดไปจากประเทศ ถึงแม้จะหมดไม่ได้ เราก็ต้องทำให้ได้ สิ่งที่ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว มาเอารัดเอาเปรียบประชาชน เราจะต้องดำเนินการให้หมดไป”
ผู้สื่อข่าวถามว่าการทำงานในขณะนี้ดูเหมือนจะมีการทำให้ไม่ค่อยราบรื่นและไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนมองว่าตอนนี้ก็ราบรื่นดีไม่มีอะไรเราก็พยายามทำอยู่แล้ว เราทำด้วยเจตนาที่ดี ตนไม่มีนัย ที่ทำทุกอย่างก็เพื่อให้ประเทศเทศนี้ดีขึ้น ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีโจรเกิดขึ้นตำรวจจะต้องดี ต้องจับโจรให้ได้ สังเกตได้ว่าคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุมได้หมด
ส่วนการทำความเข้าใจให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงนั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เป็นเรื่องกระทรวงการต่างประเทศต้องรับรู้รับทราบ และเป็นผู้เข้าไปชี้แจงว่าเป็นเพราะอะไรเราถึงต้องทำอย่างนี้ประเทศเราเป็นอย่างไร เวลานี้เราพัฒนาของเรามาดีมากแล้ว
พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาคำถามพ่วงประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าตนไม่ทราบเพราะไม่ใช่ สนช. เรื่องนี้ต้องไปถาม สนช. ตนไม่มีความคิดเห็น ปล่อยให้เขาทำเพราะอำนาจอยู่ที่เขา ตนไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยุ่ง
ส่วนที่ทหารจะมีการเชิญตัวอดีต ส.ส.น่าน ที่เจ้าหน้าที่บุกเข้ายึดขันแดงจำนวนมากมาพูดคุยหรือเข้าหลักสูตรอบรมนักการเมืองนั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทางคณะทำงาน คสช.จะดูว่าเจตนาเป็นอย่างไร ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็จะมี คสช.ในพื้นที่เป็นผู้ดู แล้วจะมีการดำเนินการของเขาเองไม่ต้องเป็นห่วง
พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงการเสียชีวิตของพลทหาร ทรงธรรม หมุดหมัด สังกัด ร.152 พัน.1 ว่า ตอนนี้ได้รับทราบแล้วซึ่งเป็นในส่วนของกำลังพล ความจริงแล้วผู้บังคับบัญชาทุกระดับพยายามที่จะไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ยังเกิดขึ้นเป็นระยะ สิ่งเหล่านี้ตนได้เน้นย้ำกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงว่าให้ลงไปดู ไปควบคุมกำกับดูแลผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้นให้เข้าใจถึงระบบการฝึกที่จะไม่ทำให้เกิดการสูญเสียกำลังพลที่จะอยู่ในขั้นตอนของความไม่ประมาท ทั้งนี้เมื่อเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ทาง ผบ.ทบ.ได้ลงโทษในเบื้องต้นโดยการสั่งขังทังหมด และตั้งคณะกรรมการสอบสวนและหากพบว่าในคดีอาญาก็ให้ว่าไปตามกฎหมายส่วนทางวินัยก็ให้คณะกรรมการดำเนินการไป ตนขอยืนยันว่าทั้งหมดจะโดนลงโทษในสถานหนัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงนี้เป็นช่วงการเกณฑ์ทหารจะให้ความเชื่อมั่นต่อทางผู้ปกครองของทหารเกณฑ์อย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนได้สั่งไปถึงผู้บังคับบัญชาทุกระดับรวมถึงสัสดีให้ชี้แจงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเพราะเรื่องอย่างนี้ไม่ได้เกิดบ่อยและไม่ได้เกิดกันในทุกภาค ผู้บังคับบัญชาทุกระดับมีความพยายามที่จะไม่ให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร คงต้องลงไปดูว่าเขาเป็นโรคจิตหรือเปล่า เพราะพลทหารก็เป็นลูกน้องของเขาเอง ไปทำแบบนี้จะเกิดประโยชน์อะไร
ส่วนบทลงโทษพลทหารมีกำหนดหรือไม่ว่าห้ามแตะเนื้อต้องตัว พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า โดยปกติกฎระเบียบมีอยู่แล้วที่จะไม่ให้มีการแตะเนื้อต้องตัวกัน ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็มีอำนาจสั่งลงโทษอยู่แล้ว ผู้หมู่มีอำนาจอย่างไร ผู้หมวดมีอำนาจอย่างไร ผู้กองมีอำนาจเท่าไร ในกฎระเบียบมีอยู่แล้วชัดเจน
ส่วนที่ทางญาติของผู้เสียชีวิตจะให้นายทหารทั้ง 6 นายมาขอขมาต่อผู้เสียชีวิตนั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ไม่เป็นไรไปก็ต้องไป ตนให้ทางแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้ดำเนินการ เมื่อวาน (6 เม.ย.) ตนลงไปในพื้นที่ภาคใต้แล้วได้คุยกับแม่ทัพภาคที่ 4 แล้วไม่มีปัญหา คนไหนทำผิดก็ต้องรับไป เพราะกำลังพลในกองทัพมีจำนวนมาก แต่ละคนก็มีความคิดแตกต่างกัน ฉะนั้นอย่าไปเหมารวมว่าทหารทำอย่างนี้เหมือนกันหมด เป็นเพียงบุคคล พลทหาร ก. หรือร้อยตรี ข. แต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้มีกฎเกณฑ์ชัดเจนตั้งแต่กระทรวงกลาโหมลงไปยังเหล่าทัพว่าวินัยจะต้องทำอย่างไร การดำเนินการจะต้องทำอย่างไร ด้านการฝึกต้องทำอย่างไร มีเป็นขั้นตอน แล้วอย่างนี้เขาจะมีกรมยุทธศึกษา กรมพระธรรมนูญไว้ทำไม ต้องมีทุกเหล่าทัพเพื่อเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์
“แต่วันนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มันไม่ค่อยจะเหมาะสม ไม่ใช่ว่าไม่เหมาะสมที่จะเกิดแต่มันไม่ควรจะเกิดเลย ผมได้กำชับผู้บังคับบัญชาระดับชั้นทุกคนให้ลงไปหากำลังพลให้ชัดเจนมากขึ้น เข้าไปกำกับดูแลมากขึ้นกว่านี้ ไม่ใช่ว่าปล่อยให้คนทำไป เราจะต้องดูว่าการตั้งผู้ฝึกควรจะตั้งผู้มีสติ สมัยตั้งแต่ผมเป็นนายทหารเด็กก็เข้มงวดในเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว ผมไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์กองทัพ เพราะมันไม่ได้เกิดทั้งกองทัพ มันเป็นเรื่องของบุคคล เพราะคนดีดีในกองทัพมีเยอะ แต่เราต้องไปดูว่าต้องไม่เกิดขึ้นอีก พยายามต้องไม่ให้เกิดให้ได้ ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านการฝึก ต้องไปพิจารณาในการดำเนินการให้ชัดเจนมากขึ้นว่าเรามีความผิดพลาดอย่างไรในการจัดตั้งผู้ฝึก ตนขอยืนยันอีกครั้งว่าจะไม่มีการปกป้องกำลังพลที่ทำผิด”
ผู้สื่อข่าวถาว่า ทหารทั้ง 6 นายมีความเครียดจากสถานการณ์ทางภาคใต้แล้วไปลงกับพลทหาร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เพราะที่เกิดเหตุเป็นที่ตั้งปกติ ไม่ใช่เกิดจากความเครียดอย่างแน่นอน เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวเรื่องนี้ทำให้ผู้ปกครองไม่อยากให้ลูกมาเกณฑ์ทหาร พล.อ.ประวิตรกล่าวติดตลกว่า ไม่ใช่หวาดกลัวแน่นอน แต่ไม่อยากเป็นมากกว่า ความจริงเรื่องการเกณฑ์ทหารชายไทยทุกคนต้องเกณฑ์ทหารและในเวลานี้เขาเกณฑ์ทหารเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่ว่าเอาทุกคน แต่ต้องเกณฑ์ทุกคนตามกฎหมาย ซึ่งจำนวนคนที่เขาจะรับ อาทิ ตำบลนี้รับ 10 แล้วมีคนจะต้องเกณฑ์ 100 คนก็ไม่เอา 90 คน ก็เป็นการจับใบดำใบแดง
พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงกระแสข่าวที่ให้จับตาชาวอุยกูร์-เชเชนที่อาจจะเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทยว่า ทางหน่วยข่าวของเรารับทราบเรื่องนี้และได้ติดตามมาโดยตลอดไม่ต้องเป็นห่วง เราดูอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่นานแล้วแต่เราก็ต้องติดตามเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้จับพาสปอร์ตปลอมได้โดยอยู่ระหว่างติดตาม
“ทางเราติดตามทุกอย่างที่อาจจะทำให้เกิดความไม่สงบและเกิดการก่อการร้ายขึ้นภายในประเทศ เป็นเรื่องของหน่วยงานความมั่นคง เราก็จะเริ่มตั้งแต่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และก็จะมีการส่งข่าวต่อกันมา การเข้ามาของคนกลุ่มนี้สามารถมองได้หลายอย่าง คือ อาจเข้ามาเพื่อก่อการร้ายก็ได้ หนีเข้าเมืองมาก็ได้ มันไม่แน่นอน บางทีหนีเข้ามาแล้วมาหาพาสปอร์ตปลอมเพื่อหนีไปประเทศที่ 3”