นายกฯ ร่ายยาวมากกว่า 4 คำถาม วอนสื่ออย่าใช้หลักสูตรอบรมนักการเมืองว่า ปรับทัศนคติ เป็นเพียงแค่อบรม ร่างหลักสูตรเอง ยันดูแลอย่างดี ไม่มีทรมาน ยันไม่ปลด “บิ๊กต๊อก” หลังม็อบพระกดดัน ชี้โพสต์ภาพ “ขันแดง” เป็นภัยความมั่นคง ระบุ อย่าหนุนคนทำผิดกฎหมาย ชงรื้อคดีเอาผิด “ทายาทกระทิงแดง” หมดอายุความไม่เหมาะสม ต้องถูกลงโทษ สั่ง “พริตตี้โป๊” เสียค่าปรับตามกฎหมาย จี้ของสงวนเป็นเรื่องของครอบครัว จ่อผุดมาตรการลงโทษเพิ่มเติม
วันนี้ (29 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีแนวคิดการเปิดหลักสูตรเรียกบุคคลเข้าปรับทัศนคติ ว่า อย่าใช้คำว่าปรับทัศนคติ หลักสูตรของตนที่คิดขึ้นมาเป็นเพราะเห็นว่าความขัดแย้งสูงขึ้น ในเมื่อทุกคนเรียกร้องอยากจะมีเวทีพูดคุย ก็ควรจะพูดคุยในสาระที่ควรคุยกัน ตนก็จะให้เวลามาพูดคุยกันสัก 3 วัน 5 วัน 7 วัน 15 วัน 30 วัน อบรมเรื่องการเมือง ธรรมาภิบาล ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม เหมือนการเรียนหนังสือ สื่อมวลชนก็ด้วยมีโควตาในการเข้าอบรม ตนไม่ได้พูดเล่น
เมื่อถามว่า การเปิดหลักสูตรนี้จะสามารถช่วยอะไรได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าคงไม่สามารถช่วยอะไรได้ จะไปช่วยอะไรได้ คนสมองมันเป็นแบบนี้ แต่อย่างน้อย ก็ไม่ต้องฟัง เขาพูดอยู่หลายวัน แต่เมื่อออกมาคงพูดใหม่อีก แต่พูดใหม่ก็เรียกมาอบรมใหม่ จะอบรม 3 - 4 รอบก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร ไม่ได้เอาไปขังคุกเสียเมื่อไหร่ ต้องเข้าใจว่ากฎหมายคือกฎหมาย และต้องเข้าใจว่าอะไรคือคำสั่งกฎหมายพิเศษ และเข้าใจว่าอะไรเป็น พ.ร.บ. ความมั่นคง เมื่อสถานการณ์ไม่ปกติก็ต้องมีกฎหมายขึ้นมา เพื่อแก้ไขให้สถานการณ์เกิดความสงบเรียบร้อย หรือว่าสื่อไม่ต้องการ ถ้าไม่ต้องการจะยกเลิกให้ ออกไปตีกันบนท้องถนนเอาอีกไหม แล้วรับผิดชอบนะ
เมื่อถามว่า คาดหวังอะไรกับหลักสูตรดังกล่าว นายกฯ กล่าวว่า คาดหวังให้เขามาตอบคำถามกับครูของตน ว่า สิ่งที่พูดมาความหมายคืออะไร ถ้าเป็นสื่อก็ต้องถามว่าคอลัมน์ที่เขียนมาหมายความว่าอย่างไร และตนจะให้คนของตนอธิบายว่าสิ่งที่เขียนมามันไม่ถูก โดยจะบอกว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ ถ้ายังไม่เข้าใจก็อบรมอีก เพราะตนพูดในสิ่งที่มันถูกเป็นข้อเท็จจริง ฉะนั้น อย่ามาบิดเบือน และตนจะเป็นคนกำหนดหลักสูตรเอง ทั้งเรื่องการเมือง คุณธรรม จริยธรรม สิ่งเหล่านี้ที่มันไม่มีกัน รวมถึงหลักสูตรการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ทุกคนบอกว่าทหารทำไม่เป็น ซึ่งตนจะถามเขาว่าสิ่งที่ทำกันมามันถูกและผิดอย่างไร ตรงไหน
“ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักหรอก เพียงแต่ต้องการให้สังคมได้เห็นชัดเจน ว่า สิ่งที่เขาพูดมาเป็นอย่างไร ถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ และสิ่งที่ผมพูดใช่หรือไม่ใช่ ผมทำทุกอย่าง แก้ปัญหาทุกอย่างก็ตีรันฟันแทงกับผมมาตลอด ขณะเดียวกัน คดีความทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมก็ไม่รับ แล้วคนแบบนี้หรือ ที่คุณจะให้เขามาเป็นนักการเมือง มาบริหารประเทศแทนให้คุณหรือ ถ้าคุณเห็นคนเหล่านี้ทำดีกว่าผม ก็เชิญตามสบายเถอะ” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวด้วยว่า หากสื่ออยากรู้เรื่องหลักสูตร ให้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ใส่ชื่อเข้าไปเรียนในหลักสูตรแรก ทุกคนที่พูดไม่ดี พูดไม่ตรง พูดไม่ใช่ ให้เรียกอบรมหมด ก็ไปถกแถลงกัน ทุกพรรค ไม่ใช่พรรคนี้พรรคโน้น ทุกคนที่พูดไม่ตรงกับรัฐบาลพูด หรือสิ่งที่รัฐบาลทำ หรือไม่ตรงกับที่รัฐบาลให้โอกาสวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตทำเป็นไหม ตนจะให้คนเหล่านี้มาวิพากษ์วิจารณ์อยู่แบบนี้หรือ เสร็จแล้วก็ไปเรื่องรัฐธรรมนูญ ประชามติผ่านไม่ผ่าน มันอะไรกัน กระบวนการทางสมองมันผิดกันหรืออย่างไร ตนไม่เข้าใจ
“ผมไม่ใช่คนเรียนสูง แต่เอาชาติ ประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน เพื่อผลประโยชน์ เพื่ออำนาจ ผมทำอย่างนี้มาตลอดชีวิต ไม่เคยคิดจะมายืนตรงนี้ ไม่เคยคิดจะเป็น ผบ.ทบ. คิดแต่เพียงว่าจบเป็นร้อยตรีจะตายวันไหน เผอิญมันไม่ตาย แค่นั้นแหล่ะ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า หลักสูตรที่จะทำขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นการขู่อะไร เพราะไม่ได้เอาไปฆ่าแกงอะไร ไม่ได้เอาถุงดำครอบหัว หรือเอาไปทรมาน จะทำให้เปลืองแรงทำไม ไม่ได้ประโยชน์อะไรสักอย่าง จะไปทรมานทำไม ข้าวก็เปลือง ทำอะไรทำก็นึกถึงครอบครัวบ้างจะลำบาก เพราะไม่อยู่บ้านหลายวัน หรือเขาอาจจะดีใจก็ได้ โดยรับรองว่าจะดูแลเป็นอย่างดี แล้วอย่าลืมต้องเตรียมสอบด้วยทั้งประจำวัน ประจำสัปดาห์ ก่อนสิ้นสุดคอร์ส ถ้าไม่ผ่านก็เข้าคอร์สสอง มันต้องเรียนรู้ ถ้าคิดเองถามเองก็จะเป็นแบบนี้
เช่นเดียวกับตนในการประชุม ครม. ต้องอ่านทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่องถึงจะสั่งได้ ไม่ใช่พหูสูตที่จะรู้เอง คนจะบริหารราชการต้องอ่านหนังสือ ทหารตำรวจต้องอ่านหนังสือ ไม่ใช่ให้ลูกน้องทำมาแล้วเซ็นต์อย่างเดียว เพราะการเสนอเรื่องขึ้นมาบางครั้งไม่ตรงนโยบายที่ต้องการ เพราะวุฒิภาวะไม่เหมือนกัน ฉะนั้นต้องอ่าน ผู้นำต้องเป็นแบบนี้ มีความแตกต่างเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ถ้าทำแบบเดิมผิด ๆ ถูก ๆ ไปเรื่อย อย่ามาเป็นเลย คงต้องอบรมหลายรอบกว่าจะเป็นผู้นำ เผลอ ๆ ไม่ได้เป็น อบรมยาวไปเลยแล้วกัน ทั้งนี้ระยะเวลาการอบรมขึ้นอยู่ว่าเข้าใจแค่ไหน ถ้าเข้าใจมากเช้าไปเย็นกลับก็ได้
นายกฯ กล่าวว่า สำหรับ นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย ยังไม่ถือว่าสอบผ่าน เพราะยังไม่ได้เข้าหลักสูตรเลย ตอนนี้กำลังทำหลักสูตร อันนี้เป็นพวกเตรียมการเข้าอบรม พวกปรี (Pre) โดยหลีกสูตรจะออกเร็ว ๆ นี้ ฝ่ายความมั่นคงทำอยู่
เมื่อถามว่า มีเครื่องแบบให้ผู้ที่เข้าอบรมหรือไม่ นายกฯ ตอบอย่างมีอารมณ์ขันว่า ไอ้นี่ถามกวนประสาท คนเรียนอาจจะให้นั่งเรียนกลางแดดจะได้จำ และจะมีประกาศนียบัตรให้ด้วย อย่างน้อยก็หม้อใบหนึ่งเอาไว้ครอบหัวกลับบ้าน พอแล้วนะ ไร้สาระกันแล้ว
ส่วนกรณี นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมช.พาณิชย์ ระบุว่า จัดหลักสูตรปรับทัศนคติก็ไม่ประสบความสำเร็จ และจะร้องไปยังสหประชาชาติ (ยูเอ็น) นายกฯ กล่าวว่า ก็ให้ร้องไป โดยวานนี้ (28 มี.ค.) ตนได้ชี้แจงกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ด้านกิจการพลเมือง ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน แล้ว ในโอกาสที่มาพบ และการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ จะอธิบายถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ในไทยด้วยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเขาถามหรือเปล่า
แต่ที่ตนไปนั้นเป็นการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ โดยทางสหรัฐฯก็ไม่ได้รังเกียจอะไรตนนักหรอก เว้นแต่พวกที่ต้องโดนเรียกมาอบรม ซึ่งเป็นคนในประเทศเราเอง เรื่องบางเรื่องเป็นภายในประเทศ บางเรื่องเป็นเรื่องของประชาคมโลก ยังไงก็หนีกันไม่ได้ ประเทศไทยคือประเทศไทย ตนบอกทุกประเทศอย่ามากังวล ตนมาเพื่อคนไทย ประเทศไทย และทำให้นักการเมืองด้วย ซึ่งที่ผ่านมาทำอะไรให้กันบ้าง กฎหมายการค้า การลงทุนแก้กันให้เป็นสากลหรือเปล่า มีผลประโยชน์เรียกเขาหรือเปล่า
นายกฯ กล่าวอีกว่า ตนประกาศไปทุกประเทศ ต่อไปนี้ใครเรียกผลประโยชน์ ให้บอกมา ทุกประเทศ ทุกบริษัททั้งไทยและต่างประเทศให้ทำหนังสือมา จะสอบให้เดี๋ยวนั้น ไม่ว่าจะอ้างใครทั้งสิ้น เพราะตนบอกเสมอไม่ต้องการให้มีการทุจริต ถ้าวันใดก็ตามมีการชี้ทุจริตออกมา ก็ต้องลงโทษ แต่ตราบใดไม่มีก็ให้ไปหาหลักฐานมาอย่าพูดส่งเดช มันก็วุ่นไปหมด บ้านเมืองเสียหายอย่างนี้ ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา หากบอกว่าใครโกงให้เอาหลักฐานมารู้ไหมคนพูดแบบนี้จะโดนติดคุกนะ เสร็จแล้วมาบอกตนรังแกสื่อ รังแกสื่อในโซเชียลมีเดีย มันผิดกฎหมายหรือเปล่า ละเมิดคนอื่นหรือเปล่า สอนคนแบบนี้บ้าง
เมื่อถามว่า ที่นายกฯ เคยระบุว่าเพื่อนก็ไม่เว้น หมายความว่าอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า เป็นการพูดให้ฟัง ไม่ว่าจะเพื่อน ญาติ ทำไมจะต้องเป็นใครคนไหน ตนเพียงยกตัวอย่าง ซึ่งแม้แต่คนใกล้ชิดก็ทุจริตไม่ได้ เข้าใจหรือยัง ถึงจะชอบพอกันก็ละเว้นไม่ได้ ถ้าทำผิดกฎหมาย ตนต้องรักษากฎหมาย คสช. ภาษาอังกฤษ แปลว่าอะไร ต้องทำกฎหมายให้เป็นกฎหมายด้วยไม่ใช่หรือ วันนี้ตนทำทุกอย่างเดี๋ยวพอตนไปก็จะรู้ว่าทำอะไรไว้ให้บ้าง แล้ววันหน้าจะเกิดอะไรบ้าง สื่อก็ไปขึ้นบัญชีเอาก็แล้วกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) เตรียมยื่นรายชื่อ 4 หมื่นชื่อเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ปลด พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม จากกรณีให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีรถโบราณที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เป็นผู้ครอบครอง ว่า ใคร ๆ มีอำนาจที่จะตั้ง ที่จะปลดใคร ๆ ผู้สื่อข่าวตอบกลับว่า ตัวนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ตนไม่ปลด จะปลดเรื่องอะไร ตนเห็น พล.อ.ไพบูลย์ เคารพพระมาตลอด ปัญหาอยู่ที่ทนายปากไม่ดีที่พูดทุกอย่างวุ่นวายไปหมด ดูซะบ้างสิ ไม่ใช่ใครบอกอะไรก็ตามเขาไปหมด เป็นปากเป็นเสียงเขาไปหมด แยกบ้างว่าอะไรดีหรือไม่ดี อันไหนคือคนดี อันไหนคือคนเลว แยกให้ตนบ้าง สื่อควรที่จะเป็นอย่างนั้น แยกไม่ออกหรือว่าใครดี ใครไม่ดีหรือมันดีเท่ากันหมด
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการโพสต์เฟซบุ๊ก โดยเป็นภาพขันน้ำสีแดง พร้อมภาพถ่ายของ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือไม่ ว่า เห็นแล้ว ก็คงเป็นภัยต่อความมั่นคง เห็น คสช. พิจารณาที่จะเชิญมาพบแล้ว มันสมควรไหม ฉันถามเธอสมควรไหม ถ้าไม่สมควรจะมาถามฉันทำไม หรืออยากได้ ถ้าอยากได้เดี๋ยวให้เขาเอามาให้ ไม่มีขันสาดน้ำเอาไหม
เมื่อถามย้ำว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ผิดกฎหมายหรือเปล่า ไม่ใช่แค่มองว่าเป็นภัยความมั่นคงเพราะต้องมาอะไรกับ คสช. มาอะไรกับบ้านเมือง แต่ต้องดูว่ารูปที่เอามาติดเป็นคนที่ผิดกฎหมาย การสนับสนุนคนที่กระทำผิดกฎหมาย หลบหนีคดีอาญาผิดไหม ภัยความมั่นคงคือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ นั้นคือ ความมั่นคง ไม่ใช่กฎหมายมีไว้เพื่อปกป้อง คสช. มันคิดอะไรกับแบบนี้ไม่เข้าใจ ตนไม่ได้เดือดร้อนอยู่แล้ว แต่ถ้ามีกฎหมายแล้วละเว้นไม่ทำแล้วผิดไหม เจ้าหน้าที่จะผิดไหม รัฐบาลที่แล้วผิดเยอะในเรื่องเหล่านี้เปล่า ไปถามเขา
“หลายเรื่องคดีไม่ตัดสิน คดีที่หลุดมาเนี่ย รถชน รถบ้าเกิดขึ้นในสมัยไหน ไปโทษตำรวจเขา แล้วตัวเองกำกับดูแลไหมล่ะ ไม่ว่าจะรถชน ไฟคลอก ตนก็ต้องสั่ง เอาคดีมาสอบสวนให้ได้ ดำเนินคดีถ้าผิดก็ผิด ถ้าถูกก็ถูก ไม่ใช่ปล่อยตำรวจอยากจะทำอะไรก็ทำ ก็เป็นอยู่แบบเดิมแล้วก็ไปโทษตำรวจเขา ทำแบบตนทำแต่ท่านไม่ชอบหรอก เพราะชอบแบบครับ ค่ะ เดี๋ยวจะให้เงินไปอย่างนี้นะ ชอบแบบนี้ ถ้าพูดแบบตนไม่ชอบ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเรื่องของมาตรการควบคุมดาราและพริตตี้ในเรื่องของการแต่งกายที่ไม่เหมาะสม ว่า ตนสั่งให้มาพบตำรวจแล้ว ให้จ่ายค่าปรับซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย นอกจากนี้ ก็มีสิ่งที่ตนได้สั่งเพิ่มเติมไปยังกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และตำรวจให้ไปหามาตรการดูว่าจะมีกฎหมายอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ หรือจะมีการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้มีการลงโทษเพิ่มขึ้นหรือไม่ ประเด็นสำคัญคือเรื่องจิตสำนึก จะมาอ้างเพราะเงินไม่ได้ เรื่องบางเรื่องควรอยู่ในบ้าน ในครอบครัว อยู่ในห้องนอนไม่ใช่มาโชว์
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงคดีความต่าง ๆ ที่ยังค้างคา และเตรียมจะทบทวนว่า เป็นคดีทุกคดีที่มีปัญหากับประชาชน และสังคม ไม่ว่าจะคดีรถชน หรืออะไรต่าง ๆ ทั้งหมด ส่วนกรณี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ขับรถพุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ สายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2553 นั้น ก็กำลังรื้อคดีออกมาสอบสวนอยู่ ว่า ตามกฎหมายจะทำอย่างไรได้บ้าง ที่ทำให้คดีมันหมดอายุความไปโดยที่ไม่สมควร ก็ต้องถูกลงโทษ
“จะเอาอะไรอีกล่ะ พริตตี้แต่งตัวโป๊ก็ต้องสั่งเอง รื้อคดีรถชนก็นายกฯ ถ้ามีกฎหมายละเว้นไม่ทำเจ้าหน้าที่จะผิดไหม รัฐบาลที่แล้วมันผิดเยอะไหม ไปถามเขาสิ หลายเรื่องคดียังไม่ตัดสิน เกิดสมัยไหน รถชนรถบ้าเหล่านี้เกิดสมัยไหน ไปโทษตำรวจเขาแล้ว ตัวเองกำกับดูแลไหมล่ะ รถชนไฟคลอกผมก็ต้องสั่งให้ เอาคดีมาสอบสวนให้ได้ดำเนินคดี ผิดก็ผิดถูกก็ถูก ไม่ใช่ปล่อยตำรวจอยากจะทำอะไรก็ ทำก็เป็นอยู่แบบเดิม แล้วก็ ไปโทษตำรวจ ต้องทำแบบผมทำ แต่ท่านไม่ชอบหรอก ท่านชอบแบบจ้า ครับ เดี๋ยวจะให้ เงินไปอย่างนี้นะท่านชอบ ถ้าพูดแบบผมไม่ชอบหรอก” นายกฯ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาพที่ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการช่วยถอดรองเท้าให้นายกฯ ในช่วงเยี่ยมชมการจัดงาน “การศึกษาสร้างชาติ ตลาดคลองผดุงฯ...สร้างสุข” ในเช้าวันนี้ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ในโซเชียลมีเดีย ว่า “วันนี้ต้องขอโทษที่ทำให้หลายคนไม่สบายใจที่รุ่นน้องของผมถอดรองเท้าเพื่อวัดเท้าให้ เจตนารมณ์ผมไม่ได้มีอะไร แต่คนที่ส่งภาพออกไป ผมอยากบอกว่าจิตใจมันต่ำ ใครไม่รู้ ว่าจะไม่โมโหแล้วเชียว ผมไม่เคยดูถูกคน แต่มันเป็นเรื่องความผูกพัน ซึ่งเขามีน้ำใจกับผม แต่มันก็เป็นภาพที่ไม่สมควร ผมก็ขอโทษสังคมด้วยแล้วกัน”
เมื่อถามว่า ทำไมวันนี้นายกรัฐมนตรีถึงดูมีอารมณ์หงุดหงิดมาก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ความจริงไม่หงุดหงิดอะไร แต่มาหงุดหงิดไอ้เรื่องรองเท้า ใครถ่ายก็รู้อยู่ อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องก็อยู่ในกลุ่มพวกสื่อนี่แหละ ถ้าจะบอกว่าเหตุการณ์เมื่อเช้ามีสื่อมวลชนจำนวนมาก ผมก็ขอถามกลับว่า แล้วมันเป็นพวกใคร ไม่ใช่พวกเธอหรือ เป็นสื่อคนละพวกหรือ พวกเธอก็ต้องไปบอกว่าเรื่องอะไรมันสมควรหรือไม่สมควรนำเสนอต่อไป อะไรที่เป็นเรื่องของผม เรื่องภายใน เป็นเรื่องพี่น้องของผม แยกแยะให้ออกหน่อยจะมาบอกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพวกคุณเลือกผมมา คุณยะสั่งผมอย่างไร คุณสั่งมาผมจะทำให้ แต่นี่ไม่ได้เลือกผมสักคน”
นายกฯ กล่าวว่า กรณีปัญหาของน้ำพริกแม่ประนอมว่า สื่อรู้สาระแล้วหรือยังว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็ต้องพิสูจน์กันไป ทำไมต้องไปตัดสินเขา มันเป็นเรื่องในครอบครัว เขามีลูกกันกี่คน การบริหารธุรกิจในครอบครัวเขาคิดตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรงกันก็ไปขึ้นศาล หรือจะต้องให้ตนตัดสิน
“จะให้ผมสั่งอะไรอีก จะน้ำพริก จะปลาทู อะไรอีกล่ะ แล้วก็บอกว่าผมทำแต่เรื่องเล็ก ทั้งที่เรื่องใหญ่ก็ทำ ปกติเล็ก ๆ มิต้าเขาไม่หรอก แต่อันนี้ทำหมดเล็กก็ทำ ใหญ่ก็ทำ เพราะเรื่องเล็กมันเป็นผลกระทบต่อประชาชน ใหญ่ ๆ เรื่องโครงสร้างผมก็ทำ”นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้น นายกฯ ได้ขอดูรูปในโทรศัพท์มือถือผู้สื่อข่าวที่โลกโซเชียลมีเดียได้ทำภาพตัดต่อล้อเลียนกระปุกน้ำพริกนรก “พ่อประยุทธ” และระบุสโลแกน “ของแท้มีอะไรกันนักกันหนา ปั๊ดโธ่” โดยมีรูปนายกฯ อยู่บนฉลากด้วย โดยนายกฯ กล่าวว่า “เรื่องนี้ฉันควรจะโกรธ ฉันขี้เกียจโกรธ มันไม่ผิดเพราะมันเขียนชื่อไม่ใช่ชื่อฉัน แต่เอารูปฉันไปแพร่ ผิดรึเปล่าให้ไก่อูไปดู”
นายกฯ กล่าวถึงกรณีให้ผู้สร้างภาพยนตร์มาหารือเรื่องทุนการสร้างละครและภาพยนตร์แนวรักชาติ ว่า ก็มีผู้จัดละครเข้ามาพูดคุยชี้แจง เช่น ก็มีเรื่องปดิวรัดา เรื่องผ้าห่มผืนสุดท้าย เรื่องบางระจัน ก็กำลังสร้างขึ้นใหม่ โดยผู้จัดก็ได้ระบุว่า จะไม่รบกวนรัฐบาล เห็นใจรัฐบาล และจะสนับสนุนรัฐบาลที่จะสร้างละครและภาพยนตร์ในแนวรักชาติตามที่รัฐบาลต้องการ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจเจตนารมณ์ ซึ่งเขาก็รู้ว่าบางอย่างก็ไม่ได้เงิน เพราะคนไทยไม่ค่อยชอบ ชอบแต่เรื่องดราม่า แต่เรื่องประวัติศาสตร์เขาก็พยายามจะช่วยตน
เมื่อถามว่า กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทาบทามให้พระเอกเกาหลีชื่อดัง “ซงจุงกิ” จากซีรี่ส์เกาหลี Descendants of the Sun เข้าพบนายกฯ ว่า ไม่ได้มีการทาบทาม ซึ่งซงจุงกิจะเดินทางมาไทยอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไร แต่ถ้าใครจะมาตนก็รับทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา ถ้ามาก็ให้กำลังใจ ตนไม่ได้จะสนับสนุนไทยอย่างเดียว แต่ต้องสนับสนุนโลกด้วย ไม่ว่าจะประเทศไหนก็เป็นมิตรเราทั้งนั้น ทุกประเทศต้องมาหาตนเขาก็ร่วมมือกันทุกประเทศ ไม่เห็นมีปัญหามีแต่คนของเรานั่นแหละ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้ นายกฯ เปิดโอกาสให้สื่อซักถามอย่างเต็มที่มากกว่า 5 คำถาม โดยบอกว่าจะไปภารกิจต่างประเทศหลายวัน กลัวว่า จะคิดถึงให้ถามเต็มที่มีอะไรก็ถามมา อย่างน้อยจะได้มีอะไรเขียนด่าตนอีกหลายวัน ซึ่งผู้สื่อข่าวได้อวยพรให้นายกฯ เดินทางปลอดภัย พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวว่า มีพระดี ไม่ต้องห่วง แต่สื่อเป็นคนดีหรือเปล่า ขอให้ช่วยประเทศชาติ