รมว.ยธ. เผย มีข้อสงสัยปมราชภักดิ์ขอให้บอก ใช้แต่ความเห็นไม่จบร้องเรียนต้องมีหลักฐาน หน่วยงานที่สอบต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่น แจง "เซียนอุ๊" รับหัวคิวโรงหล่อไม่ผิด เหตุสิทธิเอกชนกับเอกชน เหมือนอำนวยความสะดวก ไม่เกี่ยวราชการ ชี้ราคากลางต่างออกไปคือจุดเดียวที่จะบอกว่าทุจริต แจง "เซียนอุ๊-เสธ.โจ้" ไม่เกี่ยวปมนี้ ไม่หนักใจ นายกฯไว้ใจทำต่อ คงแนวคิดเดิมสอบรถหรู "สมเด็จช่วง" สั่งดูเก็บภาษีย้อนหลัง
วันนี้ (24 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.10 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลสอบการทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งได้แถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า หากใครมีข้อสงสัยประการใดก็ขอให้บอกมา แต่จากการแถลงข่าวที่ผ่านมานั้นก็ไม่เห็นว่ามีข้อสงสัยใดๆ และไม่มีการแย้งในหลักการของการตรวจสอบเพราะที่ผ่านมาเป็นเพียงข้อกังวลหรือความคิดเห็น การสงสัยนั้นจะต้องมีหลักฐานที่สามารถทำให้เชื่อถือได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อ ศอตช.สรุปผลการตรวจสอบแล้วก็จะส่งข้อมูลไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบตามขั้นตอน และตนในฐานะ ผอ.ศอตช.จะไม่มีการเข้าไปสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อถามว่าพอใจต่อผลการตรวจสอบหรือไม่ รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า ในฐานะ ผอ.ศอตช.เป็นเพียงผู้บูรณาการหลายหน่วยงานให้ทำหน้าที่ด้วยกัน หน่วยงานด้านการตรวจสอบนั้นต่างทำหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว องค์กรในการตรวจสอบมีความเป็นอิสระดังนั้นจึงต้องมองว่าการตรวจสอบนั้นถูกต้องตามหลักการและเหตุผลหรือไม่ ถ้าตรวจสอบไม่ถูกต้ององค์กรเหล่านี้จะลดความน่าเชื่อถือไป แต่ทุกภาคส่วนต้องยึดหลักกฎหมาย ซึ่งจะใช้ความคิดเห็นหรือดุลพินิจอย่างเดียวไม่ได้เพราะปัญหาจะไม่จบสิ้น
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ส่วนข้อเคลือบแคลงใจต่างๆเรารับฟัง เพราะทุกคนสามารถคิดได้แต่หน่วยงานที่ตรวจสอบต้องสร้างความศรัทธาให้ตัวเอง ส่วนประเด็นที่บอกว่าเซียนอุ๊ หรือนายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ เป็นข้าราชการนั้น ตนได้รับทราบเช่นกัน แต่ถ้ามองว่าเรื่องนี้เป็นความผิดที่สำเร็จแล้วจนทำให้เซียนอุ๊นำเงินมาคืน แต่ในเรื่องของหัวคิวนั้นไม่ใช่ความผิดทางกฎหมาย คนอาจจะมองว่าสามารถให้เงินกันได้ด้วยหรือไม่ แต่ต้องเรียนว่าเป็นการให้เงินกันระหว่างเอกชนกับเอกชนซึ่งหมายถึงโรงหล่อ เพราะเป็นสิทธิที่จะให้เงินแก่ใครก็ได้ เป็นการให้เงินกันตามสิทธิของเขาเอง
“วันหนึ่งราชการได้จ้างโรงหล่อ แล้วเอาเงินให้โรงหล่อไปก็จบ เราได้พิจารณาว่าเงินที่ให้โรงหล่อไปนั้นผิดอย่างไรบ้าง แต่ตรวจสอบแล้วไม่มี และหลังจากนั้นเมื่อโรงหล่อได้รับเงินแล้วจะเอาเงินไปให้ใครบ้างก็เป็นสิทธิของเขา เมื่อเขาเอาไปให้แล้วก็เกิดประเด็นขึ้นมาจนเขาต้องเอาไปคืน แต่ประเด็นที่เอาเงินไปให้เซียนอุ๊นั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมายของทางราชการ แต่เป็นเงินสิทธิส่วนตัวของบริษัทเอกชน แต่เรื่องที่บริษัทนั้นรับเงินถูกต้อง หรือเสียภาษีถูกต้องหรือไม่นั้นก็ต้องมาว่ากันอีกครั้งหนึ่ง เช่น เซียนอุ๊เป็นข้าราชการรับเงิน 3,000 บาท จะผิดหลักการของ อบต., อบจ.หรือไม่ ก็ต้องตรวจสอบ ถ้าเป็นอาชีพเขาเองก็มีสิทธิ์นะ แต่เรื่องนี้หลุดจากการสอบสวนของเราไปแล้ว หากใครมีข้อสงสัยประการใดขอให้ร้องเรียนมาในลักษณะที่ไม่เชื่อในกระบวนการตรวจสอบแต่เท่าที่เห็นนั้นเป็นการร้องเรียนที่ออกมาจากความรู้สึกโดยไม่มีหลักฐาน ดังนั้นหากจะร้องเรียนจะต้องมีหลักฐาน แต่เท่าที่เห็นนั้นไม่มีหลักฐานซึ่งถ้ามีตนก็พร้อมที่จะตรวจสอบ” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
เมื่อถามว่า การที่เอกชนเอาเงินให้เซียนอุ๊นั้นเหมือนกับว่าเป็นการจ่ายเงินใต้โต๊ะ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า “การให้หัวคิวบางครั้งไม่ได้ผิดกฎหมายเสมอไป แต่เหมือนการอำนวยความสะดวกให้กัน มันไม่เกี่ยวกับราชการ การตรวจนั้นต้องตรวจว่าเอาเงินราชการมา ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้วเป็นอย่างไร ปัญหาที่ผมรับฟังก็คือเรื่องที่เชื่อมโยงกับราคากลาง แต่ราคากลางนั้นไม่ได้มีเพราะเป็นพระพุทธรูปซึ่งไม่มีกำหนดไว้ สตง.ก็บอกด้วยเหตุว่ามีการไปนำเหล็กให้จุฬาฯ มีการประเมินหลักเกณฑ์ และหลักการในการคิด ดังนั้นจึงต้องนำราคากลางมาเทียบกัน ถ้าทำให้เชื่อได้ว่าราคากลางของเรานั้นสูงเกินไป นั่นจะเป็นประเด็น แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีเพราะราคากลางไม่มีกำหนดไว้ ประเด็นนี้คือจุดเดียวที่จะบอกว่าผิดหรือถูก แต่ผมว่าไม่มีตามที่หน่วยงานได้ตรวจ แต่ถ้ามีขอให้บอกมา ผมยินดี และผมก็บอกหน่วยงานในการตรวจสอบว่าหากมีประเด็นนี้จะต้องตรวจสอบใหม่ เพื่อทำให้เกิดความสบายใจ เป็นหน้าที่ของ สตง., ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. ต้องทำงานให้หนัก ให้เกิดความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเอาจริง”
เมื่อถามว่า มีข้อสงสัยว่าเหตุใด ถ้าไม่ผิดเซียนอุ๊จึงได้หายตัวไปในช่วงแรก พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า จะคิดแบบนี้ก็ได้แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าหายไปเนื่องจากอะไร เขาอาจจะไปตั้งหลัก เงี่ยหูฟังก็เป็นได้ เพราะไม่รู้จะโดนอะไรบ้าง เมื่อถามว่า แล้วเหตุใดเสธ.โจ้ หรือนายคชาชาต บุญดี จึงหายตัวไปหากไม่เกี่ยวข้องกับความผิด พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ทั้งสองคนไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ไม่มีความเชื่อมโยงไม่ได้มีธุรกรรมทางการเงินผ่านแต่เกี่ยวข้องกับอีกประเด็นหนึ่งซึ่งประสมกับโครงการนี้ เรื่องนี้ต้องไปถามกองปราบ
“เรื่องนี้ผมไม่หนักใจ ผมเดินเข้ามา ผมก็ทำงาน ถ้าหนักใจก็ให้คนอื่นเขาทำ วันหนึ่งถ้าผมทำไม่ได้ นายกฯ ก็ต้องหาคนอื่นมา ซึ่งคนใหม่ก็ต้องเก่งกว่าผม ถ้าท่านยังไว้ใจผม ผมก็ต้องทำ ผมทำได้หมดเพื่อความสุขของทุกคน” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบรถยนต์เบนซ์ รุ่นรหัสตัวถัง W186 หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นผู้ครอบครองว่า เรื่องนี้จะไม่ให้สัมภาษณ์ แต่ยังยืนยันตามแนวความคิดเดิม จะขอพูดแค่เรื่องการสั่งตรวจสอบรถหรูจดประกอบ 7 พันคัน ที่ขณะนี้กรมการขนส่งทางบกได้รายงานมาแล้ว โดยจะส่งให้กรมศุลกากรดำเนินการเก็บภาษีย้อนหลัง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องสอบว่าปล่อยมาได้อย่างไรหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า “ก็ต้องย้อนกลับไปดูก่อนนี้ ไม่เป็นไรเมื่อมีหน้าที่ทำก็ต้องทำ ไม่อย่าโทษกัน”