MGR Online - รมว.ยุติธรรมโต้ทนาย-ลูกศิษย์สมเด็จช่วง ไม่ต้องไปยื่นนายกฯ ให้ปลดจากตำแหน่ง ถ้าทำผิดกฎหมายพร้อมพิจารณาตัวเอง ย้ำให้เกียรติมาโดยตลอด เรื่องวุ่นวายเพราะทนายกับศิษย์ขัดแย้งกันเองว่าจะให้สอบปากคำหรือไม่ ย้ำคดีอาญาเรียกพระสอบปากคำได้ ซัดคนมุสากับคนทำตามกฎหมาย สังคมตัดสินได้
วันนี้ (21 มี.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ชั้น 2 ห้องรับรอง กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เดินทางสอบปากคำ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่มีชื่อปรากฏเป็นผู้ครอบครองรถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่จดประกอบโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำไม่ให้สอบปากคำและให้ส่งประเด็นคำถามส่งไปล่วงหน้าก่อน และต่อมา ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ เลขาธิการสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) ออกมาขู่ว่าจะยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อปลด รมว.ยุติธรรม ฐานก้าวล่วงสมเด็จช่วงนั้น ตนขอย้ำว่าไม่เคยพูดจาบจ้วงท่านแม้แต่ครั้งเดียว สำหรับคดีตรวจสอบรถหรูผิดกฎหมายกว่า 7,000 คัน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง ส่วนกรณีที่ตรวจสอบรถท่านเพราะมีคนมาร้องเรียน แต่สังคมมองว่าเลือกปฏิบัติและสื่อนำมาโยงกันให้เกิดเป็นประเด็นไป โดยสมเด็จช่วงมีชื่อเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวจริง ตามขั้นตอนพนักงานสอบสวนดีเอสไอก็ต้องเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวอีกว่า ตนยังเรียก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม และสั่งการให้เข้าไปพบสมเด็จช่วงตามคำเชิญของทนายวัดปากน้ำฯ โดยต้องมีดอกไม้ ธูปเทียนแพ เข้าไปกราบท่าน และต้องมีผู้ใหญ่ทางดีเอสไอระดับอธิบดีหรือรองอธิบดีไปด้วย เนื่องจากสมเด็จช่วง มี 2 สถานะ คือ 1. สถานะทางสังคมที่คนนับหน้าถือตาและกราบไหว้เคารพ และ 2 เป็นผู้ครอบครองรถดังกล่าว ในทางกฎหมายและขั้นตอนเจ้าหน้าที่สามารถเรียกพยานมาสอบปากคำได้ แต่ตนให้เกียรติโดยให้พนักงานสอบสวนไปพบที่วัดปากน้ำฯ ในวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกับตกลงว่าจะเป็นการเข้าไปสอบปากคำ รวมทั้งให้ระบุว่ามีใครร่วมฟังบ้าง เมื่อถึงกำหนดวันเวลานัดหมายทางวัดปากน้ำไม่ให้เจ้าหน้าที่พกโทรศัพท์ติดตัวก็ไม่เป็นไร แต่ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำกลับบอกไม่ให้สอบปากคำ ซึ่งไม่เหมือนกับที่ตกลงกันไว้ ตนจึงให้ผู้ใต้บังคับบัญชากลับออกจากวัดปากน้ำทันที โดยไม่ให้แถลงข่าวเพราะไม่อยากตอบโต้กันไปมา และไม่ต้องการใช้สถานที่วัดปากน้ำแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะค่อนข้างหมิ่นเหม่ จนกระทั่งช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวจะยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ปลดตนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอชี้แจงว่าตนเคยเรียนท่านนายกฯ แล้ว ไม่ต้องปลดหรือโยกย้ายตนไปกระทรวงอื่น เพราะหากตนทำผิดกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด ไม่ได้มาตรฐาน ตนจะพิจารณาลาออกเอง และไม่ต้องโยกไปกระทรวงอื่นเพื่อลดแรงกดดันเลย
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวเพิ่มว่า ตนไม่เชื่อว่าสมเด็จช่วงจะเป็นผู้ไม่ให้สอบปากคำ ตนให้เกียรติท่านเสมอตามรายงานมี 2 กลุ่ม คือ ทนายและลูกศิษย์ เสียงแตกกันเองว่าจะให้สอบปากคำหรือไม่ให้สอบปากคำ ตนพูดแล้วคนใกล้ชิดจะทำให้ท่านเสียเกียรติ ตนไม่ใช่นักกฎหมาย จะสอบถามเจ้าหน้าที่ตลอดว่ากรณีแบบนี้ตามกฎหมายทำอย่างไร ตนเคารพสมเด็จช่วงจึงต้องลงมาดูเอง ปกติจะไม่ลงไปสั่งงานอะไรมากขนาดนี้ ปล่อยให้อธิบดีแต่ละกรมดูแลกันไป จะดูแค่ห่างๆ แต่คดีนี้กลัวจะกลายเป็นประเด็นทางสังคมจึงต้องลงมาดูอย่างใกล้ชิด ถามว่าตามหลักกฎหมายคดีแพ่งไม่สามารถออกหมายเรียกพระสงฆ์มาสอบปากคำในฐานะพยานได้ แต่คดีอาญาในกฎหมายของตำรวจ การเรียกพระสงฆ์มาสอบปากคำเขียนว่าขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน แต่ถ้าเรียกมาสอบก็ได้ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีข้อกำหนดว่าผิดหรือไม่ผิด และหากออกหมายเรียกแล้วไม่มาก็ออกหมายจับเป็นไปตามกฎหมาย ตนก็สอบทางดีเอสไอว่าคดีนี้เป็นคดีอะไร ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นคดีอาญา
“ผมถือแค่ศีล 5 มุสาคือการโกหก แต่คนที่ไม่มีสัจจะพูดโดยไม่ไตร่ตรองถ่องแท้ก็เข้าข่ายมุสาได้ ถ้าคนที่พูดตามกฎหมาย กับคนที่มุสา สังคมคงจะตัดสินได้ใครสร้างปัญหากันแน่ หลังจากนี้คดีรถโบราณสมเด็จช่วง ผมจะไม่ยุ่ง แต่จะคอยควบคุมดูแลห่างๆ และจะให้อธิบดีดีเอสไอเป็นผู้ชี้แจงแทน หากอะไรไม่เข้าใจกัน อยากให้เข้ามาพูดคุยกับผมได้ พระกับทนายจะได้เข้าใจกัน ไม่ต้องใช้หนังสือให้เสียเวลา” รมว.ยธ.กล่าวปิดท้าย
z