“ประยุทธ์” มึน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารออกมา 18 ปี มีหน่วยงานรัฐแค่ 2 แห่งได้รางวัลศูนย์ข้อมูลข่าวสารต้นแบบ ระบุเป็นต้นเหตุให้ประชาชนไม่ไว้ใจหน่วยงานรัฐ ขีดเส้นต้องแก้ไขให้จบในปี 2560 พร้อมแนะยกสโลแกน “ปกปิดคือข้อยกเว้น” ออก ขอภาคเอกชนร่วมมือกับภาครัฐ โวหลายประเทศชื่นชมรัฐบาลไทยแก้ปัญหาในช่วงปฏิรูป บ่นทำงานมา 2 ปีเจอปัญหานับร้อยเรื่อง แก้แรงไม่ได้-อ่อนไปก็เสียของ ขอช่วยลดแรงกดดัน ยันยึดโรดแมปเดิม ขอทุกฝ่ายทำใจให้มั่นคง อย่าถูกล้างสมองแบบเก่า อ้างความไว้เนื้อเชื่อใจรัฐบาล คสช.ดีขึ้น แต่ยังมีคนบิดเบือน ยังทะเลาะเรื่องรัฐธรรมนูญ สั่งรัฐมนตรีหยุดจ้อเรื่องการเมืองทำเสียบรรยากาศ
ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานและแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารกับการสร้างความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐ” และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการต้นแบบโดดเด่นให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ จ.หนองคาย โดยมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และข้าราชการที่เกี่ยวข้องร่วมรับฟัง
นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ตนตั้งคำถามว่า พ.ร.บ.นี้ใช้มาตั้งแต่ปี 2540 ผ่านมา 18 ปี มีแค่ 2 หน่วยงานที่ได้รับรางวัล จาก 8,000 กว่าหน่วยงานที่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูล หรือต้องรออีก 18 ปีข้างหน้าถึงจะมีอีก 2 หน่วยงานที่ได้รับรางวัล ตนขอให้ยกเลิกสโลแกน “เปิดเผยคือโปร่งใส ปกปิดคือยกเว้น” โดยขอให้ตัดคำว่า “ปกปิดคือข้อยกเว้นออก” เพราะจะยิ่งดูน่าสงสัย และข้อมูลของข้าราชการเปิดเผยได้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมามีกฎระเบียบแต่ปฏิบัติไม่ได้ จึงไม่สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้ประชาชน
“แม้ขณะนี้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ได้รับรางวัลยังมีการร้องเรียนกัน แสดงว่าประชาชนไม่เข้าใจและใช้ความรู้สึกมากกว่า จึงถือเป็นความท้าทายของข้าราชการที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจมากกว่าการรับรู้จากโซเชียลมีเดีย หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยเริ่มจากกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดิน ต้องหาทางแก้ไขให้ได้ภายในปีงบประมาณ 2560 และวันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า นำร่องหรือต้นแบบ แต่ให้ทุกหน่วยงานทำไปพร้อมๆ กัน”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันไม่ใช้ให้ข้าราชการรับผิดชอบทั้งหมด ถ้าหากเราไม่เอาจริงเอาจริงทุกอย่างจะล้มเหลว จึงต้องเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยฝากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการร่างแผนฉบับที่ 12 ว่าหน่วยงานจะต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มประสิทธิผล สามารถจับต้องได้โดย ยึดหลักความโปร่งใส กระจายอำนาจในการตรวจสอบ ถือเป็นโจทย์ของรัฐบาลนี้ในการแก้ไขปัญหาทุจริตให้หมดไป โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลยังอยู่ต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมให้ได้ เพื่อไม่ให้ประเทศชาติเสียหาย ไม่ใช่มุ่งเน้นแต่เรื่องสิทธิจนลืมคำว่าหน้าที่ ทำให้เกิดความขัดแย้ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ไทยและหลายประเทศประสบปัญหาการขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม หลายประเทศชื่นชมรัฐบาลที่เข้ามาแก้ปัญหาในช่วงปฏิรูปและรอดูการปฏิบัติการประเมินผลซึ่งทุกอย่างจะวัดจากจีดีพีอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องวัดจากความพอใจและความสุขของประชาชน พร้อมขอให้สื่อมวลชนทำความเข้าใจสร้างการรับรู้ตนก็พูดไปเยอะแต่ก็ยังเป็นแบบนี้ อย่าวิเคราะห์วิจารณ์ไปตามความรู้สึกให้เกิดความสับสนจนเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ขัดแย้งเกิดผลประโยชน์ทางการเมือง ตีกันจนเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งหากคิดว่าที่ตนพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็อยากให้ทำตาม แต่ถ้าคิดว่าไม่ถูกก็รอวันหน้า
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องการทุจริตขออย่าพูดโดยไร้หลักฐาน และขอให้ศาลเป็นผู้พิจารณา เพราะจะทำให้ประชาชนไม่เข้าใจ สื่อ เอ็นจีโอไม่เข้าใจ เพราะต่างคนต่างทำ ทำแต่เรื่องของตัวเองไม่สนใจคนอื่น ตนก็จนใจ เพราะทุกสิ่งที่ทำต้องเริ่มจากหัวใจของทุกคนไม่ใช่ความรู้สึกอย่างเดียว ต้องคำนึงถึงผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ที่เสียหายก็ต้องมีการเยียวยา แต่ต้องทำครั้งเดียวให้เกิดประโยชน์ที่ยั่งยืน ไม่ใช่ทำให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้น
“ที่ผ่านมา 2 ปีเจอปัญหามาร้อยๆ เรื่อง แก้แรงไปไม่ได้ แก้อ่อนไปก็ว่าเสียของ เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องช่วยลดแรงกดดัน และขอให้เห็นใจผมด้วย เพราะผมเข้ามาตั้งใจจะแก้ปัญหา คนต้องการให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่บางทีข้าราชการล่างๆ ไม่สนใจ สนใจแต่งานตัวเอง ไม่รู้เรื่องที่เกี่ยวโยงกับกระทรวงอื่น ทั้งที่เป็นปัญหาเดียวกัน เช่นเรื่องน้ำจะให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงเดียวรับไหวหรือไม่ ทุกกระทรวงต้องเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องทำงานให้ประชาชน ให้ประเทศ ทำให้เข้าใจและพอใจ หรือมีคะแนนเสียงของแต่ละกระทรวงไม่ได้ ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุข ไม่ใช่บำบัดสุข บำรุงทุกข์"
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัญหาน้ำขาดเขื่อนทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่เรื่องนี้มีมานานแล้ว ตอนนี้ควรบริหารจัดการเท่านั้น วันนี้ให้ดูการระบายน้ำส่งน้ำวุ่นวายไปหมด แต่ตอนนี้ก็ยังมีเวลาให้ช่วยกันจัดการก่อนที่จะแย่ไปกว่านี้จนทำให้เกิดการทุจริต
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่าตนไม่ต้องการคะแนน โรดแมปที่กำหนดไว้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ใครจะรักหรือเกลียดก็ช่าง ตนเอาประเทศเป็นที่ตั้ง เพราะทุกคนคือคนไทย เชื่อว่าทุกคนมีความตั้งใจ แต่ต้องทำให้ใจมั่นคงด้วยอย่าไปเชื่อและถูกล้างสมองแบบเก่า หากเชื่อตนก็ต้องมาช่วยและช่วยรัฐมนตรีเพราะรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และที่สำคัญที่สุดในวันนี้คือความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจของรัฐบาลและ คสช.ดีขึ้นแต่ไม่มากขึ้น เพราะยังมีคนบิดเบือนอยู่และยังทะเลาะกันเรื่องรัฐธรรมนูญ ภาษากฎหมายมันตีกันหมด ถ้าคนจะตีความซึ่งตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากนี้หากทุกคนยอมรับในกระบวนการก็แก้ได้หมด ทำไมจะต้องเอาเป็นเอาตายจะกลับไปใช้มาตรา 37 หรืออย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ทุกคนมุ่งหวังแต่ทำโครงการใหญ่ ตนไม่ให้ ต้องผ่านรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ และรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ หรืออีเอชไอเอ ให้ได้ก่อน ถ้าทำโครงการใหญ่ไม่ได้ก็ทำโครงการเล็กไปก่อน อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่ทำไม่ได้ตนยึดคืนหมด ส่วนในเรื่องของการประเมินข้าราชการไม่ได้คาดหวัง แค่อยากให้ตอบคำถามสังคมในสิ่งที่ตัวเองทำได้ ไม่ใช่ข้าราชการที่ทำตามคำสั่ง รู้ว่าทุกคนอยากเติบโต ถ้าทำไม่ได้ก็จะแก้จาก คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ กพร. เป็นคณะกรรมการพัฒนาตู่ หรือ กพต.
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนไม่เคยดูถูกคนไทย คนไทยฉลาดโดยเฉพาะแกนนำ ส่วนคนเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกกดดัน ตนอยากให้คนฉลาดอยู่ภายใต้กฎหมาย ทุกคนจะได้อยู่อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แบ่งผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ตนไม่เอา วันนี้ขออย่าปลุกระดมเหมือนสมัย 2514 ให้เกิดความขัดแย้ง ประชาธิปไตยก็ได้แล้วจะเอาอะไรอีก อย่าให้คนไม่ดีมาสร้างความขัดแย้งหรือเข้ามามีบทบาท มาบอกว่าหวังดี แต่แย้งทุกเรื่อง ค้านทุกเรื่อง ตนก็แปลกใจทำไมมาพูดทุกเรื่อง ที่ผ่านมาไม่พูดมากและเหนื่อยขนาดนี้ ไปต่างประเทศก็แค่ เยสๆ และก็จับมือ แต่ตนพูดจนปากเปียกปากแฉะ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่เคยทำอะไรเสียหาย ถ้าทำอะไรขอให้บอก หรือเขียนจดหมายมา อย่าไปเขียนในโลกโซเชียลฯ ตนจะรับทุกเรื่องมาแก้ปัญหา และหลังจากนี้ตนจะไม่พูดเรื่องการเมือง วันนี้ใครถามเรื่องการเมืองตนจะเล่นงาน พร้อมสั่งรัฐมนตรีทุกคนงดตอบเรื่องการเมือง เพราะน่ารำคาญ เสียบรรยากาศเปล่าๆ