เมืองไทย 360 องศา
ผ่านมาหลายวันจำได้ว่าเมื่อราวปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา วันที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีที่เป็นเจ้าพนักงานสร้างความเสียหายให้แก่รัฐจากโครงการรับจำนำข้าว โดยเธอมีกำหนดมาขึ้นศาลเพื่อไต่สวนพยานในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากนั้นข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็เงียบหายไป จะเห็นก็แต่ความเคลื่อนไหวที่เดินสายพบมวลชนตามภาคอีสาน ภาคเหนือในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติไปตรวจราชการต่างจังหวัด ลักษณะที่ออกมาในแบบทำบุญ แต่ในวงการย่อมรู้กันว่าว่าคือการ “เคลื่อนไหวทางการเมืองแบบเนียนๆ” นั่นแหละ
แม้ว่าการไต่สวนพยานในคดีรับจำนำข้าวจะเพิ่งเริ่มต้องรอไต่สวนอีกหลายปากทั้งฝ่ายโจทย์จำเลย แต่ก็ถือว่าคดีเริ่มนับหนึ่งอย่างเป็นทางการแล้ว
นั่นเป็นคดีอาญาเสี่ยงคุกตะราง แม้ว่าที่ผ่านมาใครจะวิจารณ์ระดับสติปัญญาของเธอแบบไหนก็ดีเพราะเชื่อว่าหากใครโดนแบบนี้มันก็ต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา ขึ้นอยู่กัยว่าจะแสดงออกมาแบบไหนเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดี สำหรับเธอ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันยังมีอีกเรื่องใหญ่ที่กำลังจะกลายเป็นชนักปักหลังอีกไม่นานเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน นั่นคือ “ความผิดทางแพ่ง” จากโครงการรับจำนำข้าวนั่นแหละ ล่าสุดได้รับการเปิดเผยจาก “สมชัย สัจจพงษ์” ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ได้เปิดเผยว่าได้เร่งรัดให้มีการสรุปตัวเลขผลขาดทุนโครงการดังกล่าวว่ามีเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าใด โดยจะพยายามสรุปตัวเลขให้ได้ภายในสัปดาห์ที่สามของเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้รับทราบ ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าผลการขาดทุนของรัฐบาลชุดที่แล้วที่เคยมีตัวเลขอยู่ที่ 5 แสนล้านบาทจะเพิ่มมากขึ้นอีกจำนวนเท่าใด
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าจากการตรวจสอบพบว่ามีข้าวในโครงการรับจำนำข้าวหายไปจำนวน 3 แสนตัน ทำให้ไม่สามารถปิดบัญชีได้ จึงต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง หากไม่พบว่าขายออกไปก็ต้องตีตราว่าเป็น “ข้าวหาย” ซึ่งจะทำให้ตัวเลขการขาดทุนเพิ่มขึ้น ส่วนจะมีการเอาผิดใครเพิ่มเติมหรือไม่จะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกันต่อไป
สำหรับการปิดบัญชีจำนำข้าวล่าสุด คือเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 มียอดขาดทุนจำนวน 7 แสนล้านบาท แยกเป็น 11 โครงการก่อนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำนวน 1.63 แสนล้านบาท และอีก 4 โครงการสมัย ยิ่งลักษณ์ 5.36 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงความคืบหน้าทางคดีล่าสุดที่ได้รับการเปิดเผยข้อมูลอีกด้านหนึ่งจาก “จิรชัย มูลทองโร่ย” รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในโครงการรับจำนำข้าวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าขณะนี้ไดืส่งผลสอบข้อเท็จจริงไปให้ “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเรียบร้อยแล้ว โดยมีตัวเลขความเสียหายอยู่ในนั้นด้วย แต่ยังไม่อาจเปิดเผยได้เพราะกระบวนการยังไม่สิ้นสุด
“ตามขั้นตอนหลังจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะพิจารณาเบื้องต้นก่อนว่าจะเห็นชอบด้วยกับข้อมูลตัวเลขของคณะกรรมการฯ หรือไม่ ถ้าเห็นชอบก็จะนำเรียนนายกฯพิจารณาากนายกฯ เห็นชอบอีกจะส่งไปยังกระทรวงการคลังพิจารณาในเรื่องความเสียหายต่างๆ โดยจะมีคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานพิจารณา ซึ่งคณะกรรมกท่ชุดดังกล่าวจะเคาะตัวเลขสุดท้ายว่าจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่”
แม้ว่าตามข้อมูลตัวเลขและความเสียหายจะมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงตัวเลขความเสียหายที่เพิ่มขึ้นอีกนับแสนล้านบาท เพราะหากพิจารณาตามข้อมูลที่บอกว่ามีข้าวหายอีกไม่น้อยกว่า 3 แสนตัน ดังนั้น เมื่อรวมกับตัวเลขเดิมที่เคยระบุเอาไว้ว่ามีกว่า 5.36 แสนล้านบาทตัวเลขความเสียหายคร่าวๆ ณ เวลานี้ รวมแล้วก็น่าจะมากกว่า 6 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน
หากย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดของ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ที่เคยระบุว่าน่าจะสามารถสรุปตัวเลขความเสียหายและออกคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายทางแพ่งต่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หรืออาจจะเลื่อนไปเป็นต้นเดือนหน้าก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่นานนัก ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ต้องการเร่งรัดให้สรุปโดยเร็ว เชื่อว่าใกล้ถึงกำหนดดีเดย์เต็มที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ภายนอกกำลังรุมเร้าเข้ามาก็ยิ่งต้องจัดการให้เด็ดขาดกันไป ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซังจนอาจเกิดเหตุแทรกซ้อนไม่คาดหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทีของทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งสัญญาณคว่ำร่างรัฐธรรมนูญและเตรียมป่วนกันเต็มที่ เพราะถือว่าคราวนี้เดิมพันสูงต้องเทกันเต็มที่อีกรอบ
ดังนั้น เชื่อว่าภายในสามสี่สัปดาห์นับจากนี้ ข่าวร้ายของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเรื่องตัวเลขความเสียหายที่ต้องชดใช้ทางแพ่งก็คงจะสรุปออกมาได้แล้ว และจากข้อมูลที่แย้มออกมาดังกล่าวคงไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาทแน่นอน!