xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.ร้อง คสช.เปิดวิจารณ์ รธน. แนะเลิกตัดอำนาจนิติบัญญัติ เปิดทางฝ่ายค้านนั่งรอง ปธ.สภาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้อง คสช.และรัฐบาลเปิดกว้างวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะสถานศึกษา เพื่อนำข้อด้อยไปปรับปรุง ส่งผลดีต่อประชามติ พร้อมเปิดบรรยากาศประชาธิปไตยก่อนเลือกตั้ง เผยจุดเด่น 5 ประการป้องกันทุจริต แต่ตำหนิให้อำนาจประธานรัฐสภาพิจารณาข้อกล่าวหา ป.ป.ช.ฝ่ายเดียว และเปิดทางแกนนำฝ่ายค้านเป็นรองประธานรัฐสภาเพื่อตรวจสอบถ่วงดุล และการตั้งกระทู้ถามในสภา



วันนี้ (7 ก.พ.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคกรุงเทพมหานคร (กทม.) แถลงเรียกร้องไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลให้เปิดกว้างวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการลงประชามติ เพราะจะทำให้เห็นทัศนคติมุมมองทั้งจุดเด่นและจุดด้อยมาปรับปรุง ก่อให้เกิดกระแสการตื่นตัวสนใจร่างรัฐธรรมนูญและส่งผลต่อการลงประชามติตามมาด้วย นอกจากนี้ คสช.และรัฐบาลควรปูทางสร้างสรรค์บรรยากาศประชาธิปไตยรองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดกลางปีหน้า

นายองอาจกล่าวถึงจุดเด่นของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับอื่น คือ ความเข้มข้นในการปราบปรามการทุจริตที่บัญญัติในหมวดต่างๆ 5 ประการ คือ 1. การป้องกันปราบปรามการทุจริตเป็นหน้าที่ปวงชนชาวไทยไม่ให้ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริต และ รัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนเห็นอันตรายต่อการทุจริต มีกลไกที่มีประสิทธิภาพป้องกันและขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบ

2. มีการกลั่นกรองบุคคลเข้าทำหน้าที่ในสภาเข้มข้นมากขึ้น 3. กลั่นกรองบุคคลเข้าทำหน้าที่การบริหารภาครัฐเข้มข้นขึ้นด้วยการกำหนดคุณสมบัติและการทำหน้าที่จะถูกตรวจสอบได้หลายช่องทาง 4. องค์กรอิสระมีหน้าที่เข้มข้นกว่ารัฐธรรมนูญฉบับอื่น และ 5. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบัญญัติให้มีกฎหมายถึงหลักเกณฑ์การเลือกตั้งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งมีส่วนทำให้การทุจริตเบาบางลง แต่ก็เป็นเพียงหลักการ ส่วนจะปฏิบัติได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จะตามมา ดังนั้น คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องทำให้กฎหมายที่จะออกตามมามีความศักดิ์สิทธิ์สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญเพื่อให้สัมฤทธิผลในการปราบปรามการทุจริตได้

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า เนื้อหาสรุปหลักการร่างรัฐธรรมนูญมีประเด็นที่น่าสนใจ แต่ยังไม่มีคนพูดถึง ถ้ามีการปรับแก้ไขจะเป็นประโยชน์มากกว่าปล่อยให้มีผลบังคับใช้ คือ อยากให้แก้ไม่ให้อำนาจประธานรัฐสภาพิจารณาข้อกล่าวหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่เพียงคนเดียวแต่ควรทำเป็นรูปของคณะ เพราะมาตรา 232 บัญญัติให้ ส.ส.หรือ ส.ว. หรือสองสภาจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 หรือประชาชนมี 2 หมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อร้องกรณีร่ำรวยผิดปกติ จงใจขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภา เมื่อเห็นว่ามีหลักฐานอันควรสงสัยตามที่ถูกกล่าวหาให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลฎีกาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

“เราไม่ควรให้ประธานรัฐสภาคนเดียวมีหน้าที่ยื่นข้อกล่าวหา แต่ควรเป็นองค์คณะจากภาคส่วนต่างๆ เพราะถ้าให้ประธานรัฐสภาพิจารณาคนเดียว อาจมีการวิ่งเต้นให้วินิจฉัยว่าไม่มีความผิดได้ตั้งแต่ต้น อีกทั้งประธานรัฐสภายังเป็นคนของรัฐบาลทำให้มองได้ว่าถ้าคนของรัฐบาลถูกตรวจสอบโดย ป.ป.ช.อาจมีการกล่าวหา ป.ป.ช. กลับเป็นการสมรู้ร่วมคิดฮั้วกันจนอาจเกิดการพิจารณาที่ไม่เป็นธรรมได้ กรธ. จึงควรปรับแก้ในส่วนนี้ เพราะเป็นหัวใจสำคัญของการปราบปรามการทุจริต” นายองอาจกล่าว

ด้านนายราเมศร รัตนะเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเพราะมีการตัดเนื้อหาสาระสำคัญที่เคยบัญญัติไว้ในปี 2550 จึงควรนำส่วนที่บัญญัติไว้เดิมมาบรรจุในร่างเบื้องต้นนี้ด้วย เพราะปี 2550 สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการเสนอข่าว แสดงความเห็นโดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของราชการหรือเจ้าของกิจการสิ่งพิมพ์ ทำให้มีเสรีภาพในการเสนอข่าว และยังระบุด้วยว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะแทรกแซงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนมิได้ รวมถึงการให้ความสำคัญต่อองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่ควรมีเป็นการเฉพาะ จึงอยากให้มีการเพิ่มเติม

สำหรับประเด็นการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน มีสิ่งที่ขาดหายไป คือ การตรวจสอบและถ่วงดุลของฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร โดยตัดกระบวนการตรวจสอบฝ่ายบริหารโดยการตั้งกระทู้ ซึ่งที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวมีผลประโยชน์ต่อประเทศ เช่น โครงการรับจำนำข้าว สินค้าเกษตรตกต่ำ ดังนั้นเมื่อร่างรัฐธรรมนูญตัดส่วนนี้ออกไปก็ควรนำกลับมาบรรจุไว้ในหมวดควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อเป็นหลักประกันให้ตัวแทนประชาชนได้ทำหน้าที่ตรวจสอบ

“ที่ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ไม่ใช่ประโยชน์นักการเมือง แต่ให้นักการเมืองเป็นปากเป็นเสียงของประชาชนในเรื่องกระบวนการตรวจสอบ ซึ่งกระทู้เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบอำนาจฝ่ายบริหาร และอยากให้กำหนดในร่างรัฐธรรมนูญว่าเมื่อสมาชิกตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการท่านใด ต้องมาตอบจะไม่มาตอบมิได้ หากอ้างเรื่องความลับ ความมั่นคง ประโยชน์ชาติก็ควรระบุให้มีการประชุมลับ ในกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ แต่ต้องตอบทุกเรื่องที่สมาชิกรัฐสภาซักถาม” นายราเมศกล่าว

ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงท่าทีของ กรธ.ที่ยืนยันว่าพร้อมจะนำความเห็นของฝ่ายต่างๆ ไปปรับแก้ในประเด็นการให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนและชุมชน ไม่น้อยไปกว่าที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 และจะเร่งรัดการร่างกฎหมายลูกให้เสร็จตามเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ในโรดแมปว่า ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่า กรธ.ยังพร้อมรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างๆ อยู่ และไม่ได้มีลักษณะปิดกั้นไปเสียทั้งหมด

แต่ทั้งนี้ ท่าทีด้านลบของ กรธ.ต่อฝ่ายการเมืองที่มีออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้งนั้น ตนขอให้ข้อคิดว่าควรจะได้มีการแยกแยะไตร่ตรองว่าความเห็นใดเป็นความเห็นในทางอคติ ความเห็นใดเป็นความเห็นในทางสร้างสรรค์ของฝ่ายปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนความปรารถนาดีโดยประสงค์ให้รัฐธรรมนูญที่ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ซึ่งหาก กรธ.สามารถแยกแยะและพร้อมรับฟังในส่วนที่เป็นความเห็นในทางสร้างสรรค์ก็จะช่วยให้รัฐธรรมนูญเข้ารูปเข้ารอยและเป็นที่ยอมรับได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ตนคิดว่าควรจะได้มีการปรับปรุงและเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งในฐานะฝ่ายปฏิบัติ คือ การตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติ หากสามารถออกแบบให้เป็นระบบที่สามารถถ่วงดุลกันได้อย่างมีดุลยภาพแล้ว ประชาชนจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น ต้องให้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องมาจากฝ่ายค้านด้วยไม่ใช่เป็นของรัฐบาลทั้งหมด เพราะในอดีตกำหนดให้ทั้งประธานและรองประธานสภาทั้ง 2 คน มีผลทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของทั้งประธานและรองประธานหลายครั้ง เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในสภา จึงได้เกิดแนวคิดว่ารองประธานสภาคนหนึ่ง ควรจะมาจากฝ่ายค้าน เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลในการปฏิบัติหน้าที่ ดังเช่นในบางประเทศที่พัฒนาแล้วทางประชาธิปไตยเขาก็ทำกัน ดังนั้น ต้องปรับปรุงแก้ไขในมาตรา 101 ที่ระบุห้ามสมาชิกพรรคแกนนำฝ่ายค้านที่มีหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ไปเป็นประธานสภา หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นการปิดทางไม่ให้พรรคแกนนำฝ่ายค้านซึ่งมีความสำคัญในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารไม่ให้สามารถไปทำหน้าที่รองประธานสภา หรือประธานสภาได้

“การกำหนดเช่นนี้นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดการถ่วงดุลในการทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมดังกล่าวแล้ว หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น กรณีที่พรรคแกนนำรัฐบาลต้องกลับมาเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้านและมีสมาชิกเป็นประธานหรือรองประธานสภาอยู่ในสภาเดิม หัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลเดิมก็จะไม่สามารถมาทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาได้ นอกจากต้องให้สมาชิกของพรรคลาออกจากตำแหน่งประธานสภาและหรือรองประธานสภาเสียก่อนเท่านั้น และประธานกรรมาธิการชุดสำคัญที่มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินและตรวจสอบการทุจริตในรัฐบาล ควรจากฝ่ายค้านด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีผลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนได้มากขึ้น“ นายจุรินทร์กล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น