ศาลปกครองสูงสุดยืนตามศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้อง “อรรถวิชช์” ฟ้อง ปปง.กรณียึดทรัพย์มารดา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แจงไม่อยู่ในเขตอำนาจ ชี้อำนาจอยู่ที่ศาลแพ่ง
วันนี้ (18 ม.ค.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางไม่รับคำฟ้องที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี และพวกรวม 4 คน ยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เลขาธิการ ปปง. และสำนักงาน ป.ป.ช. กรณียึดทรัพย์นางภคินี สุวรรณภักดี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยในศาลปกครองกลางเห็นว่าคดีดังกล่าวไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลแพ่ง ตาม พ.ร.บ.ปปง. 2542 กำหนด
ส่วนเหตุผลศาลปกครองสูงสุดยืนไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา ระบุว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้วนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย เนื่องจาก พ.ร.บ.ปปง. 2542 กำหนดให้อำนาจศาลยุติธรรมในการมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการทั้งหมดก่อนที่จะมีการยื่นคำร้องต่อศาล โดยไม่อาจแยกศาลที่มีอำนาจมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน กับศาลที่มีอำนาจตรวจสอบกระบวนการก่อนยื่นคำร้อง แยกต่างหากจากกันได้ และไม่ว่าคำสั่งของ ปปง.ที่ให้ยื่นคำร้องต่อศาลให้ทรัพย์สินของนายอรรถวิชช์และพวกตกเป็นของแผนดินจะเป็นคำสั่งทางปกครองหรือไม่ก็ตาม ศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าวได้
กรณีนี้ไม่อาจเทียบเคียงกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 229/2548 ที่ได้วินิจฉัยคำสั่งยึดทรัพย์ชั่วคราวของคณะกรรมการธุรกรรม ซึ่งเป็นคำสั่งที่มีกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของผู้ถูกยึดในทันที แตกต่างจากข้อเท็จจริงในคดีนี้ อันเป็นกระบวนการในการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรม เพื่อให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน โดยยังไม่มีผล เป็นการให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินโดยทันทีจนกว่าศาลจะมีคำสั่ง คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของนายอรรถวิชช์และพวกจึงฟังไม่ขึ้น จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง