อดีต คตส.ชี้รองนายกฯ จ่อใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เรียกค่าเสียหาย “ยิ่งลักษณ์-บุญทรง-ภูมิ” กรณีจำนำข้าว สามารถยึดทรัพย์ได้หากไม่ยอมจ่าย แต่ไม่ใช่ทันที ยังมีโอกาสให้อุทธรณ์ในศาลปกครอง รัฐไม่ต้องฟ้องเอง แต่หวั่นหากคดีค้างแล้วเปลี่ยนรัฐบาล เพื่อไทยได้ครองอำนาจ อาจเพิกถอนคำสั่งได้ หรือหากเจ้าตัวชนะคดี แล้วรัฐไม่อุทธรณ์ก็จบ ด้าน ป.ป.ช.ชี้ใช้กฎหมายนี้ทำให้อายุความยืดเป็น 2 ปี แต่ยันยึดทรัพย์ได้เลย
วันนี้ (18 ก.ย.) นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เตรียมใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ดำเนินการเรียกค่าเสียหายในคดีโครงการจำนำข้าวจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 5 แสนล้านบาท และนายบุญทรง เติรยาภิรมย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมว.และ รมช.พาณิชย์ อีกราวหมื่นล้านบาทว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งให้ชำระ หากไม่ชำระก็ยึด แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถยึดทรัพย์ได้ทันที เพราะตามกฎหมายจะเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ซึ่งคดีก็จะไปสู่ศาลปกครองโดยฝ่ายผู้ที่คิดว่าเป็นคำสั่งทางปกครองที่มิชอบต้องนำขึ้นศาลเอง รัฐไม่ต้องเป็นผู้ฟ้อง ทั้งนี้เห็นว่ากระบวนการดังกล่าวจะทำให้ขั้นตอนการพิจารณาเร็วขึ้นกว่าการฟ้องในคดีแพ่ง
นายแก้วสรรกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หากคดีค้างอยู่ที่ศาลปกครองแล้วมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยกลับมามีอำนาจอีกครั้งก็เป็นไปได้ที่จะออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิม แต่คดีอยู่ที่ศาลแล้วถามว่าจะกล้าดำเนินการอย่างนั้นหรือไม่ และในอีกกรณีหนึ่ง คือ หากในศาลปกครองกลางผู้ที่สร้างความเสียหายแก่รัฐเกิดชนะคดีขึ้นมา ก็มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อเปลี่ยนอำนาจแล้วจะไม่มีการสู้ต่อในชั้นศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้คดียุติ ก็ไม่แตกต่างจากการฟ้องศาลแพ่ง เพราะถ้าแพ้แล้วรัฐไม่อุทธรณ์ต่อ คดีก็จบเช่นกัน
ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.กล่าวว่า การใช้กฎหมายดังกล่าวจะทำให้อายุความยืดไปสองปี แตกต่างจากการละเมิดทั่วไปที่มีอายุความเพียงปีเดียว เมื่อมีคำสั่งแล้วไม่ชำระก็สามารถยึดทรัพย์ได้เลย เป็นการดำเนินคดีต่อข้าราชการที่ละเมิดทางด้านวินัย เพราะถ้าฟ้องแพ่งเสียเวลาอาจทำให้ทรัพย์สินกระจัดกระจายจนไม่สามารถยึดทรัพย์กลับคืนได้