กรธ.ผ่านการพิจารณารายมาตรา คุณสมบัติ ส.ส. ยึดหลักการเดิมส่วนใหญ่ ส.ส.500 คน แบ่งเขต 350 คน บัญชีรายชื่อ 150 คน ลงคะแนนแบบ MMP ด้วยการกาบัตรใบเดียว ปรับปรุงเพิ่มขึ้น พรรคต้องเสนอรายชื่อเป็นนายกฯ ก่อนวันเลือกตั้งปรับเป็นไม่เกิน 3 ชื่อ ไม่เสนอก็ได้ โหวตโนแยะสุดเปิดรับผู้สมัครเขตใหม่ เพิ่มระดับข้อห้ามให้ทัดเทียมหรือไม่ต่ำกว่าของผู้สมัครกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน
วันนี้ (14 ม.ค.) นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงผลการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราในหมวดรัฐสภา ส่วนที่ว่าด้วยที่มา คุณสมบัติของ ส.ส.ว่า กรธ.ยืนยันหลักการระบบเลือกตั้งแบบ MMP ที่ใช้บัตรเลือกตั้งหนึ่งใบคำนวณทั้ง ส.ส.แบ่งเขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยสภาผู้แทนประกอบด้วย ส.ส.ทั้งสองระบบจำนวน 350/150 รวมเป็น 500 คน มีวาระ 4 ปี โดยภายหลังการเลือกตั้งเมื่อประกาศรับรองผล ส.ส. จนได้ 95% (475 คน) แล้วสามารถเปิดการประชุมรัฐสภาได้ ส่วนที่เหลือ หากมีการประกาศผลภายหลังก็ให้นำผลคะแนนมาคำนวณใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนให้สัดส่วน ส.ส.ทั้งสองส่วนตรงกับความเป็นจริง
นอกจากนี้ โฆษก กรธ.ยังระบุด้วยว่า ในกรณีที่มีการทุจริตการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใด และมีผลวินิจฉัยของศาลภายใน 1 ปีหลังการเลือกตั้งว่ามีความผิด ก็ให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตนั้น แล้วนำคะแนนการเลือกตั้งมาคำนวณใหม่ หากพรรคใดได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลดลง ก็ให้เอารายชื่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับท้าย แต่หากผลวินิจฉัยออกมาเกิน 1 ปี ให้เปลี่ยนแปลงเฉพาะ ส.ส.เขตโดยไม่ต้องนำคะแนนรอบใหม่ไปคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีก ส่วนกรณี ส.ส.เขตพ้นไปอันเนื่องจากเหตุอื่น เช่น ตาย หรือถูกศาลสั่งให้เป็นผู้ไม่มีสิทธิลงสมัคร ก็ให้เลือกตั้งซ่อมเฉพาะ ส.ส.เขต โดยไม่ต้องเอาคะแนนไปคำนวณใหม่
“ทั้งนี้ ผู้ที่จะชนะการเลือกตั้งที่เขตจะต้องมีคะแนนมากกว่าคะแนน ‘โหวตโน’ หากเขตใดที่ไม่มีผู้สมัครที่มีคะแนนมากกว่าโหวตโนก็ต้องให้เปิดรับสมัครเลือกตั้งกันใหม่ โดยผู้สมัครรายเดิมทั้งหมดหมดสิทธิลงสมัครในรอบนั้น” โฆษก กรธ.กล่าว
นายนรชิตกล่าวว่า วิธีการนับคะแนนให้นับที่หน่วยเลือกตั้ง และไปรวมผลประกาศที่เขตเลือกตั้ง การแบ่งเขตให้คำนวณตามสัดส่วนประชากร
นายนรชิตกล่าวอีกว่า กรธ.กำหนดให้พรรคการเมืองจะเสนอรายชื่อผู้ที่จะให้เป็นนายกฯ ได้ไม่เกิน 3 รายชื่อ โดยไม่เสนอก็ได้ แต่ต้องแจ้งต่อ กกต.ก่อนวันปิดรับสมัครรับเลือกตั้งเพื่อประกาศรายชื่อให้ประชาชนทราบ โดยต้องมีหนังสือยินยอมจากบุคคลผู้ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามของรัฐมนตรี และต้องไม่เป็นรายชื่อที่ซ้ำกับพรรคอื่น หากซ้ำให้ถือเสมือนว่าบุคคลดังกล่าวไม่มีการเสนอชื่อ
นายนรชิตกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเท่านั้นที่มีสิทธิส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ โดยรายชื่อผู้สมัครทั้งสองระบบต้องไม่ซ้ำกัน และการกำหนดบัญชีรายชื่อผู้สมัครของพรรคการเมืองใดจะต้องให้สมาชิกพรรคนั้นมีส่วนร่วม คำนึงถึงการกระจายภูมิภาค และความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชาย แต่ไม่ใช่ว่าต้องเท่ากัน
สำหรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงสมัคร ส.ส.นั้นจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี ต้องเป็นสมาชิกพรรค โดย กรธ. เพิ่มข้อห้ามที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญเดิม คือ ผู้ที่เคยต้องโทษให้จำคุกจะต้องพ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปีจึงจะลงสมัครได้ จากเดิมที่กำหนดเพียง 5 ปี และเพิ่มลักษณะต้องห้ามของผู้เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เช่น การรุกป่าไม้ รุกเขตอุทยาน การพนัน การซื้อขายยาเสพติด ฯลฯ ให้เป็นข้อห้ามของ ส.ส.ด้วย โดย กรธ.มองว่าแม้แต่กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ยังมีข้อห้าม ผู้มาเป็นผู้แทนฯ ในระดับชาติจึงไม่ควรจะมีมาตรฐานที่ต่ำกว่า
สำหรับอายุของผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้น โฆษก กรธ.กล่าวว่า กรธ.ยืนยันหลักการให้ผู้มีสิทธิที่อายุครบ 18 ปีในวันเลือกตั้งเป็นผู้มีสิทธิ จากเดิมที่ต้องครบ 18 ปีก่อนวันที่ 1 ม.ค. ของปีที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจเพิ่มจำนวนได้ถึงอีก 1 แสนคน