เมืองไทย 360 องศา
“ไม่ปรับ ยังไม่ปรับ ปรับเมื่อไหร่ไม่รู้ อยากจะปรับก็ปรับ แต่ยังไม่อยากปรับในตอนนี้ แล้วทำไมจะต้องปรับละ ปรับผมออกดีกว่ามั้ง”
นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 9 ธันวาคม เมื่อถูกถามถึงเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี หลังจากเกิดเหตุอื้อฉาวจากโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
แน่นอนว่า เป้าหมายที่ถูกจับตามองในตอนนี้ ก็คือ การปรับรัฐมนตรีในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ในฐานะประธานมูลนิธิราชภักดิ์ และอดีตผู้บัญชาการทหารบกที่เคยเป็นแม่งานในการก่อสร้างอุทยานดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวก็ยืนยันออกมาแล้วว่า “ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง”
ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมา ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็เคยส่งสัญญาณออกมาแล้วว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร สามารถ “ตัดสินใจเองได้ คิดเองได้” ความหมายออกมาในโทน “เสียสละอวัยวะบางส่วน”
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงและความหมายคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ว่า “ยังไม่ปรับตอนนี้” ความหมายก็คือปรับแน่ เพียงแต่ว่าต้องรอจังหวะอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งคำพูดที่บอกว่า “ให้รอผลสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับอุทยานราชภักดิ์เสียก่อน ซึ่งหากคำนวณตามระยะเวลาแล้วผลสรุปก็น่าจะออกมาในช่วงปลายเดือนธันวาคมหรือเดือนมกราคมปีหน้า”
นอกเหนือจากนี้ เมื่อพิจารณาจากกำหนดการที่รัฐบาลจะแถลงผลงานครบรอบ 2 ปี ในวันที่ 25 ธันวาคม ดูตามรูปการณ์แล้วก็คงจะต้องรอให้ผ่านวันดังกล่าวไปก่อน อย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติรักษาหน้าตาคนอื่นไว้บ้าง
ทีนี้ก็มาถึงคำถามว่าหากมีการปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นมาจริง ๆ จะออกมาเป็นแบบปรับแค่ตำแหน่งเดียว หรือว่า “ปรับอีกเป็นชุด” หรือไม่ นั่นคือถ้าแบบนี้ก็ต้องปรับอีกบางตำแหน่ง เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลในช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกปีกว่าตามโรดแมป คือ ภายในเดือนมิถุนายน 2560 ให้มีความกระชับฉับไว มีผลงานออกมาเป็นที่จับต้องได้ ซึ่งพูดก็พูดเถอะหากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมาพบว่ายังมีรัฐมนตรีอีกหลายตำแหน่งที่ผลงานยังไม่กระเตื้อง บางคนผ่านมาเป็นปีแล้วชาวบ้านยังไม่รู้ว่ามีชื่อเป็นรัฐมนตรี ประเภท “ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ” ทำงานรูทีนไปวัน ๆ หรือบางคนแม้ว่าจะเป็นข่าวแทบจะรายวันแต่นั่นเป็นเพราะเป็นกระทรวงเกรดเอที่ต้องเป็นข่าว เช่น กระทรวงคมนาคม แต่เมื่อพิจารณาจากเนื้องานแล้วก็ต้องบอกว่าในยุคของ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นเจ้ากระทรวง ผลงานยังไม่ได้ตามเป้านัก ทั้งในเรื่องของการแก้ปัญหาเรื่องมาตรฐานการบิน ความคืบหน้าในการประมูลโครงการใหญ่ หลายโครงการยังล่าช้ากว่าแผน
นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ที่ต้องจับตา เพราะก่อนหน้านี้ ตามรายชื่อที่ปรากฏเขาเป็นรองประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ที่มี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เป็นประธาน และมีบทบาทสำคัญในช่วงการก่อสร้างอุทยานฯที่เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา ในยุคที่ พล.อ.อุดมเดช เป็นผู้บัญชาการทหารบก
ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้ง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เป็นต้น กระทรวงดังกล่าวเมื่อพิจารณาตามสายตาแลัวยังไม่มีความโดดเด่น บางกระทรวงไม่มีผลงานให้เห็นเลย บางคนนั่งเก้าอี้มาจะครบสองปีแล้วไม่มีอะไรงอกเงยออกมาเลย
ดังนั้น เป็นไปได้เหมือนกันว่าไหน ๆ จะต้องปรับคณะรัฐมนตรีกันทั้งที เมื่อรัฐบาลครบสองปี แม้ว่าเพิ่งปรับใหญ่กันไปในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกระยะโดยเฉพาะในภาพรวมที่รัฐบาลมาถึงครึ่งทาง บางทีมันก็ถึงเวลาต้องโละกันอีกชุด เพื่อ “ร่อน” เอาเฉพาะคนที่มีฝีมือ ประเภทเพื่อนพ้องน้องพี่บางทีมันก็หมดเวลาตอบแทนกันได้แล้ว
ที่สำคัญ สถานการณ์ภายนอกนับจากนี้แทบทุกเรื่องมันเริ่มรุมเร้าเข้ามา ก่อนที่กำหนดเส้นตายตามโรดแมปที่ประกาศเอาไว้คือภายในเดือนมิถุนายนปี 2560 หากนับนิ้วดูแลก็เหลือเวลาอีกเพียงปีกว่าเท่านั้น ต้องเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน จะทำงานไปวันๆแบบเดิมไม่ได้ ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามความเหมาะสมแล้วเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. น่าจะปรับคณะรัฐมนตรีหลังปีใหม่ และเชื่อว่าน่าจะปรับเกินสองตำแหน่งแน่นอน !!
