ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดก็ประกาศปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ในรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเป็นการปรับทั้งหมด 20 ตำแหน่งมีทั้งเข้ามาใหม่ ปรับออก และหมุนเวียนสับเปลี่ยนตำแหน่งใหม่
การปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้ยังเป็นการปรับในช่วงที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอายุครบ 1 ปี ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากเวลาก็ถือว่ามีความเหมาะสมที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน “ขันนอต” กันบ้างเพื่อความกระฉับกระเฉง และที่สำคัญเพื่อเรียก “ความศรัทธา” ให้กลับคืนมาหลังเริ่มถอดถอยลงมาพอสมควร จากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่มีเสียงวิจารณ์จากชาวบ้านดังขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่การปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้จะถูกมองว่ามีน้ำหนักไปที่ “ทีมเศรษฐกิจ” เป็นหลัก ซึ่งนอกเหนือจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงจาก “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล มาเป็น “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากสมหมาย ภาษี มาเป็นทีมใหม่แล้ว รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจยังหมายรวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มีการโยกรัฐมนตรีว่าการที่มาจากบิ๊กทหารให้ “เข้าที่เข้าทาง” มากขึ้น เช่นโยก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ โยก พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไปเป็นรองนายกฯ โยก พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกร จากเคยควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็เหลือแค่รองนายกฯ ตำแหน่งเดียว โดยทุกกระทรวงดังกล่าวก็เลื่อนรัฐมนตรีช่วยขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการ รวมทั้งดันปลัดกระทรวงที่กำลังจะเกษียณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งบรรดารัฐมนตรีช่วยฯเหล่านั้นน่าจะมองว่า “ขับเคลื่อน” ได้ดีกว่ารัฐมนตรีที่มาจากฝ่ายทหารเนื่องจากเป็นงานเฉพาะด้าน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นข้อสังเกตก็คือ ในรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่คราวนี้ บรรดารัฐมนตรีที่มาจาก “บิ๊กในกองทัพ” ไม่มีใครถูกปรับออกแม้สักคนเดียว อย่างมากก็โยกไป “ขึ้นหิ้ง” ในตำแหน่งรองนายกฯ หรือโยกไปนั่งกระทรวงใหม่ที่น่าจะถนัดกว่าเดิม เช่น กรณีของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นต้น ขณะที่บางรายที่ถือว่าเป็นเพื่อนรู้ใจอย่าง พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ จะโยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ มานั่งเก้าอี้ว่าการกระทรวงศึกษาฯ ที่ใหญ่กว่าเดิม ทำหน้าที่ปฏิรูปการศึกษาให้ตรงใจกับนายกฯ มากขึ้น ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ถือว่าเป็นความมั่นคงเฉพาะหน้าก็ต้องใช้คนใกล้ตัวที่ไว้ใจอย่าง พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ที่ปรึกษานายกฯ และประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายภาครัฐ (คตร.) มานั่งแทน เป็นต้น
แต่ที่ “น่าจับตาเป็นพิเศษ” ก็คือ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เกษียณฯ ในเดือนกันยายนนี้มานั่งว่าการกระทรวงแรงงาน ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมย่อมต้องเป็นหนึ่งในสภากลาโหม และที่สำคัญยังเป็น “ผู้ทำบัญชีโยกย้ายนายทหาร” อีกด้วย ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีครั้งนี้หรือไม่ ไม่ทราบ เพียงแต่เมื่อถูกถามว่าในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีนามสกุล “กาญจนรัตน์” สองคน ต่อไปผู้บัญชาการทหารบกก็ต้องมีนามกุลเหมือนกับนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มมีอารมณ์และย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนเป็นเรื่องของสภากลาโหมเป็นผู้เสนอชื่อขึ้นมา!
อย่างไรก็ดี เมื่อย้อนกลับไปถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมเมื่อปีก่อน คือ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ที่เคยทำบัญชีโยกย้ายนายทหาร ก็ได้นั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และล่าสุดก็ถูกโยกไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกรทรวงทรัพยากร โดยให้ พล.อ.ศิริชัย ที่จะเกษียณจากปลัดกลาโหมมานั่งว่าการแรงงานแทน
นอกเหนือจากนี้ การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดยังมองเห็นว่า นี่คือการ “กระชับอำนาจ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างชัดเจนที่สุด เพราะด้วยสถานการณ์บังคับทำให้เขาสามารถรุกเข้ามาจัดทีมใหม่ด้วยตัวเองมากขึ้น นั่นคือจำกัดบทบาทของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้น้อยลงกว่าเดิม ให้จำกัดวงอยู่แค่งานด้าน “ความมั่นคง” เฉพาะด้าน อย่างน้อยก็ในการเปลี่ยนตัว “ทีมเศรษฐกิจ” จากหม่อมอุ๋ยมาเป็นสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รวมทั้งขยับและโยกรัฐมนตรีเศรษฐกิจอีกหลายกระทรวงเรียกว่าแบบยกชุดแบบนี้น่าจะมาจากความต้องการของนายกฯ เป็นหลัก
แต่ถึงอย่างไรก็ดี ยังถือว่าเป็นการประนีประนอมและยังให้เกียรติพี่ใหญ่ สังเกตได้จากก่อนหน้านี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยกล่าวยกย่อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แบบเฉพาะเจาะจงมากมายเป็นพิเศษก่อนที่โผคณะรัฐมตรีชุดใหม่จะหลุดออกมา
ดังนั้นถึงได้บอกว่าการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้นอกจากเป็นการกระชับอำนาจแล้ว ยังเป็นการรักษาน้ำใจเพื่อนพ้องน้องพี่ในกองทัพ รวมไปถึงการมองว่ามีบำเหน็จหลังจาก “ทำงานสำคัญ” เสร็จสิ้นให้กับบิ๊กบางคนในกองทัพบก!