xs
xsm
sm
md
lg

กระอักกระอ่วน ปรับทีมเศรษฐกิจ-ดิสเครดิต “พี่ใหญ่”!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

“ที่ผ่านมา ข้อเสนอของเอกชนนั้นทีมเศรษฐกิจรัฐบาลตอบรับเราช้า เช่น การขยายวงเงินค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี หรือ บสย. ภาษีฯ ต่าง ๆ ซึ่งพูดกันมาเป็นปีเพิ่งได้รับการพิจารณาไม่กี่วันนี้เอง ซึ่งเศรษฐกิจที่ป่วยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากวันนี้กับอดีตก็ไม่เหมือนกัน จึงต้องปรับแก้ไขวิชันให้ชัดเจนมากกว่านี้ที่จะทำให้เร็วขึ้นไม่เช่นนั้นก็จะมีปัญหาในอนาคต”

“กรณีเศรษฐกิจครึ่งปีหลังก็อยู่ที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลจะดำเนินการอะไรออกมากระตุ้นจากปัญหาภัยแล้งที่อาจคุกคามภาวะเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และจะกระทบต่อกำลังซื้อประชาชน ซึ่งข้อเสนอของเอกชนที่ผ่านมาได้ส่งสัญญาณทุกเดือนว่าทีมเศรษฐกิจควรจะอุดหนุน หรือดูแลราคาสินค้าให้ภาคการเกษตรบ้างแต่ทีมเศรษฐกิจก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมาในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลดูแลเศรษฐกิจมหภาค (แม็กโคร) ดีแล้ว แต่ในระดับจุลภาค (ไมโคร) ไม่มีความชัดเจน ซึ่งขณะนี้ปัญหาระดับไมโครของไทยค่อนข้างรุนแรง”

นั่นเป็นคำแถลงของ สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ซึ่งเป็นลักษณะตั้งโต๊ะแถลงกันอย่างเป็นทางการพร้อมกับคณะกรรมการบริหารของสภาอุตฯ ไม่ใช่ลักษณะการให้สัมภาษณ์แบบแสดงความเห็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน การแถลงในลักษณะแบบนี้จะมีน้อยครั้งที่จะได้เห็น เพราะคนพวกนี้เป็นภาคธุรกิจเอกชน คงไม่อยากขัดใจกับฝ่ายรัฐบาลแน่นอน แต่เมื่อออกมาเต็ม ๆ แบบนี้ก็ต้องบอกว่า “เต็มกลืน” แล้ว

อย่างไรก็ดี คำพูดของประธานสภาอุตสาหกรรมฯข้างต้นก็ไม่ต่างจากความรู้สึกของชาวบ้านส่วนใหญ่ในเวลานี้ เพียงแต่ว่าอาจจะแตกต่างกันในเรื่องของเป้าหมาย เช่น ภาคธุรกิจก็จะพูดถึงเรื่องมาตรการในการแก้ไขของภาครัฐที่ล่าช้าไม่ทันการณ์ทำให้ธุรกิจมีปัญหา ขณะที่ในภาคประชาชนชาวบ้าน ก็จะบ่นในเรื่องของเศรษฐกิจปากท้อง ที่สร้างความเดือดร้อนกันไปทั่ว แต่สรุปให้เห็นภาพชัดเจนก็คือ “มันคนละเรื่องเดียวกัน” ที่ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของทีมเศรษฐกิจในชุดปัจจุบัน และหากไม่รีบแก้ไขเปลี่ยนให้ทันท่วงทีและทันกับความต้องการก็จะลุกลามกลายเป็นความล้มเหลวของรัฐบาล และจะเป็นความล้มเหลวของผู้นำ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในที่สุด

แน่นอนว่า สำหรับความเห็นของชาวบ้านที่ติดตามการทำงานของรัฐบาลชุดนี้มาตั้งแต่ต้น เสียงวิจารณ์ที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ล้มเหลว ก็ย่อมต้องชี้ตรงไปที่ทีมเศรษฐกิจที่นำโดย “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันถ้าให้พิจารณากันในภาพรวม ๆ ทั้ง หมดก็ต้องบอกว่ารัฐมนตรีส่วนใหญ่ “สอบตก” แทบทั้งหมด โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่มาจากกองทัพ

หากให้จิ้มไปทีละกระทรวงก็ต้อง เริ่มจาก พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่อาจเข้ามาไม่ถูกกาลเทศะในภาวะที่รัฐบาลที่มาโดยช่องทางพิเศษก็อาจมีปัญหาในการทำงานกับหลายประเทศที่ยึดเอารูปแบบการเลือกตั้งเป็นหลัก

คนต่อมาก็เห็นจะเป็น พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่โดยศักยภาพของเจ้ากระทรวงเกรดเอ ที่ใช้งบประมาณที่สูงมากน่าจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการขับเคลื่อน และกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเป็นหลัก แต่หากลองพิจารณาให้ดีมีการเซ็นสัญญาโครงการขนาดใหญ่จำนวนน้อยมาก น้อยจนแทบไม่มีการขยับเลย ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสีต่าง ๆ รถไฟทางคู่ เป็นต้น ทั้งที่โครงการเหล่านี้ไม่ใช่โครงการใหม่ แต่เป็นโครงการต่อเนื่องทั้งสิ้น

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ที่ดูแลเรื่องการส่งออก เศรษฐกิจปากท้อง ทกอย่างไม่เข้าเป้า เมื่อการส่งออกไม่กระเตื้องมันก็ย่อมส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตรตัวหลักตามมา เช่น ข้าว ยางพารา ไม่มีวี่แววน่าพอใจ นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ต้องค้นชื่ออยู่นานว่ามีเจ้ากระทรวงคือ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รวมทั้ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ที่หายไปจากจอนานแล้ว

นั่นคือ ภาพรวม ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของการทำงานของรัฐมนตรีในหลายกระทรวงทั้งที่เป็นทีมเศรษฐกิจและรัฐมนตรีที่มาจากกองทัพ

ขณะเดียวกัน ถ้าแยกพิจารณาเฉพาะทีมเศรษฐกิจที่นำโดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในทางสาธารณะรับรู้กันมานานแล้วว่า นี่คือ “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชัน” ที่เชื่อมโยงไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เวลานี้ทำหน้าที่ควบคุมทั้งด้านความมั่นคงและขยายเส้นทางมากำกับงานด้านเศรษฐกิจระดับนโยบายสำคัญอีกด้วย ดังนั้น เมื่อฉายภาพให้เห็นแบบนี้ หากมีความล้มเหลว และผลงานไม่เข้าเป้าก็ย่อมสะเทือนมาทาง “พี่ใหญ่” คนนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ และด้วยสาเหตุแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ยังกระอักกระอ่วน ยังไม่ขยับตัดสินใจสักที

อย่างไรก็ดี มาถึงตอนนี้ เมื่อกระแสสังคมกลายเป็นความรู้สึกร่วมไปแล้ว คงไม่ต้องมาไล่ถามกันว่าจะปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ แต่สมควรถามว่าจะปรับแบบไหนมากกว่า !!
กำลังโหลดความคิดเห็น