แม้จะเดาใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่า จะปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อไหร่ แต่เชื่อว่าคงอีกไม่นานนัก อย่างช้าที่สุดจริงๆก็ไม่น่าจะเกินวันที่ 1 ตุลาคม ในกรณี "พิเศษ"ต้องรอ"บางคน"ที่ต้องเกษียณอายุราชการมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ขณะเดียวกันนาทีนี้คงมีบทสรุปชัดเจนแล้วว่า "ทีมเศรษฐกิจ"ที่นำโดย "หม่อมอุ๋ย"มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี คงต้องลุกออกไปแบบ"ยกชุด"กันเลยทีเดียว รวมไปถึงยังคาดหมายด้วยว่าคราวนี้น่าจะเป็นแบบ "ปรับใหญ่" กันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือการเลือกเฟ้นตัวบุคคลที่จะมาแทนคนเก่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน เพราะคราวนี้ถ้ามาแล้วต้องเกิด"ผลสัมฤทธิ์"ที่ดีกว่าเดิมจนชาวบ้านมีความรู้สึกได้ แต่ถ้าผลออกมาประเภทเหมือนเดิม หรือ"แย่"ลงกว่าเดิม แบบนั้นรับรองว่ายุ่งแน่ และคนที่ซวยคราวนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละ
ดังนั้นหากพิจารณาจากระยะเวลาตามโรดแมปที่เหลืออีกประมาณปีกว่าตามตารางปฏิทินแบบคร่าวๆก่อนหน้านี้ ก็ยังถือว่า"พอแก้ตัวได้ทัน"หากสามารถเลือกเฟ้นตัวบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรีชุดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองนโยาบายสำคัญได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
แม้จะยังไม่ชัวร์ว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่แทน "หม่อมอุ๋ย" มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล แต่ที่ผ่านมามีการพูดกันถึงชื่อ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่เวลานี้เป็นประธานที่ปรึกษานายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ จะมาเป็นรองนายกฯคนใหม่ โดยเฉพาะ สมคิด นั้นเวลานี้ถือว่าคุณสมบัติผ่านฉลุยแล้วหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 ได้แก้ไข"ปลดล็อก"คุณสมบัติต้องห้ามเรียบร้อยแล้ว
ส่วนรัฐมนตรีคลัง นาทีนี้ต้องยอมรับว่า"ยังเดาไม่ออก" แต่หากพิจารณาจากความสามารถและควาน่าเชื่อถือก็น่าจะใช่ "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล"ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำลังจะพ้นจากหน้าที่ในวันที่ 30 กันยายนนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าตัวจะโอเคหรือไม่ด้วย
อย่างไรก็ดีนั่นเป็นเพียงการคาดเดา ที่พิจารณาจากเส้นทางของแต่ละบุคคล และความรู้ความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น
ขณะเดียวกันยังมีรัฐมนตรีประเภท"สายแข็ง"ที่เชื่อว่าคง"ไม่หลุดโผ"แน่นอน เริ่มจาก"พี่ใหญ่"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ถึงอย่างไรก็ต้องยังต้องให้คุมด้านความมั่นคง นั่นคือเป็นรองนายกฯควบ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ต้องยังเป็นรมต.ส่วนจะนั่งเก้าอี้ตัวเดิมหรือไม่ก็มีสิทธิ์ลุ้นเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรที่ผ่านมาก็มีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงตำแหน่งสำคัญไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว แต่ที่น่าจับตามองกลับเป็น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ซึ่งกำลังจะเกษียณฯในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก จะยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะข้ามฟากมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการในกระทรวงสำคัญกระทรวงอื่น
หากโฟกัสกันเฉพาะรายโดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แม้ว่าโดยศักยภาพส่วนตัวและความผูกพันกันในแบบพี่น้องจะยังคงมีความแนบแน่น แต่คราวนี้เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่าในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาเขายังไม่อาจสร้าง"บารมี"ในทางสาธารณะได้เลย หากให้พูดกันแบบตรงไปตรงมายัง"ไม่มีภาพในมุมบวก"ได้เลย นี่จึงอาจเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเส้นทางอำนาจที่เหนือกว่าในวันหน้า และคราวนี้ก็คงต้องยอม"ปล่อยวาง"ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำหน้าที่เลือกเฟ้นได้เต็มที่
เมื่อพิจารณาจากอารมณ์และความรู้สึกของสังคมแล้วเชื่อว่าคราวนี้จะเป็นแรงบีบให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามา"จัดทีม"ด้วยตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวบุคคลที่จะเข้ามาใหม่ด้วยตัวเอง แม้ว่าในความเป็นจริงจะมา"ในสายใคร"ก็ตาม เขาก็ต้อง"ไม่พลาด"ได้อีกแล้ว ที่สำคัญเวลาที่เหลืออันน้อยนิดมันก็ยิ่งบีบคั้น แรงกดดัน เสียงวิจารณ์ก็จะยิ่งหนักหนากว่าเดิมหลายเท่า ดังนั้นคนที่เข้ามาใหม่ก็ต้อง "เจ๋งจริง"ไว้ใจได้ จะเป็นแบบเดิมไม่ได้เป็นอันขาด
ดังนั้นโฉมหน้าของรัฐมนตรีใหม่ที่จะเข้ามาต้องถือว่าเป็นเรื่องยากในการคัดสรร แต่ก็คงไม่ยากจนเกินไปสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะหากทุกเรื่องเขาทำการบ้านและรู้เรื่องดีมาตลอด ก็ย่อมติดตามความเป็นมาของแต่ละคนได้ดี และที่สำคัญหากคำยืนยันที่ว่า เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน เพื่อนพ้องน้องพี่แยกแยะกันชัด เชื่อว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็พอมีความหวัง และสังคมก็ยังเอาใจช่วย !!
ขณะเดียวกันนาทีนี้คงมีบทสรุปชัดเจนแล้วว่า "ทีมเศรษฐกิจ"ที่นำโดย "หม่อมอุ๋ย"มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี คงต้องลุกออกไปแบบ"ยกชุด"กันเลยทีเดียว รวมไปถึงยังคาดหมายด้วยว่าคราวนี้น่าจะเป็นแบบ "ปรับใหญ่" กันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือการเลือกเฟ้นตัวบุคคลที่จะมาแทนคนเก่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน เพราะคราวนี้ถ้ามาแล้วต้องเกิด"ผลสัมฤทธิ์"ที่ดีกว่าเดิมจนชาวบ้านมีความรู้สึกได้ แต่ถ้าผลออกมาประเภทเหมือนเดิม หรือ"แย่"ลงกว่าเดิม แบบนั้นรับรองว่ายุ่งแน่ และคนที่ซวยคราวนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละ
ดังนั้นหากพิจารณาจากระยะเวลาตามโรดแมปที่เหลืออีกประมาณปีกว่าตามตารางปฏิทินแบบคร่าวๆก่อนหน้านี้ ก็ยังถือว่า"พอแก้ตัวได้ทัน"หากสามารถเลือกเฟ้นตัวบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรีชุดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองนโยาบายสำคัญได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
แม้จะยังไม่ชัวร์ว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่แทน "หม่อมอุ๋ย" มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล แต่ที่ผ่านมามีการพูดกันถึงชื่อ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่เวลานี้เป็นประธานที่ปรึกษานายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ จะมาเป็นรองนายกฯคนใหม่ โดยเฉพาะ สมคิด นั้นเวลานี้ถือว่าคุณสมบัติผ่านฉลุยแล้วหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 ได้แก้ไข"ปลดล็อก"คุณสมบัติต้องห้ามเรียบร้อยแล้ว
ส่วนรัฐมนตรีคลัง นาทีนี้ต้องยอมรับว่า"ยังเดาไม่ออก" แต่หากพิจารณาจากความสามารถและควาน่าเชื่อถือก็น่าจะใช่ "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล"ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำลังจะพ้นจากหน้าที่ในวันที่ 30 กันยายนนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าตัวจะโอเคหรือไม่ด้วย
อย่างไรก็ดีนั่นเป็นเพียงการคาดเดา ที่พิจารณาจากเส้นทางของแต่ละบุคคล และความรู้ความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น
ขณะเดียวกันยังมีรัฐมนตรีประเภท"สายแข็ง"ที่เชื่อว่าคง"ไม่หลุดโผ"แน่นอน เริ่มจาก"พี่ใหญ่"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ถึงอย่างไรก็ต้องยังต้องให้คุมด้านความมั่นคง นั่นคือเป็นรองนายกฯควบ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ต้องยังเป็นรมต.ส่วนจะนั่งเก้าอี้ตัวเดิมหรือไม่ก็มีสิทธิ์ลุ้นเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรที่ผ่านมาก็มีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงตำแหน่งสำคัญไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว แต่ที่น่าจับตามองกลับเป็น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ซึ่งกำลังจะเกษียณฯในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก จะยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะข้ามฟากมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการในกระทรวงสำคัญกระทรวงอื่น
หากโฟกัสกันเฉพาะรายโดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แม้ว่าโดยศักยภาพส่วนตัวและความผูกพันกันในแบบพี่น้องจะยังคงมีความแนบแน่น แต่คราวนี้เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่าในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาเขายังไม่อาจสร้าง"บารมี"ในทางสาธารณะได้เลย หากให้พูดกันแบบตรงไปตรงมายัง"ไม่มีภาพในมุมบวก"ได้เลย นี่จึงอาจเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเส้นทางอำนาจที่เหนือกว่าในวันหน้า และคราวนี้ก็คงต้องยอม"ปล่อยวาง"ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำหน้าที่เลือกเฟ้นได้เต็มที่
เมื่อพิจารณาจากอารมณ์และความรู้สึกของสังคมแล้วเชื่อว่าคราวนี้จะเป็นแรงบีบให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามา"จัดทีม"ด้วยตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวบุคคลที่จะเข้ามาใหม่ด้วยตัวเอง แม้ว่าในความเป็นจริงจะมา"ในสายใคร"ก็ตาม เขาก็ต้อง"ไม่พลาด"ได้อีกแล้ว ที่สำคัญเวลาที่เหลืออันน้อยนิดมันก็ยิ่งบีบคั้น แรงกดดัน เสียงวิจารณ์ก็จะยิ่งหนักหนากว่าเดิมหลายเท่า ดังนั้นคนที่เข้ามาใหม่ก็ต้อง "เจ๋งจริง"ไว้ใจได้ จะเป็นแบบเดิมไม่ได้เป็นอันขาด
ดังนั้นโฉมหน้าของรัฐมนตรีใหม่ที่จะเข้ามาต้องถือว่าเป็นเรื่องยากในการคัดสรร แต่ก็คงไม่ยากจนเกินไปสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะหากทุกเรื่องเขาทำการบ้านและรู้เรื่องดีมาตลอด ก็ย่อมติดตามความเป็นมาของแต่ละคนได้ดี และที่สำคัญหากคำยืนยันที่ว่า เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน เพื่อนพ้องน้องพี่แยกแยะกันชัด เชื่อว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็พอมีความหวัง และสังคมก็ยังเอาใจช่วย !!