มาแล้ว “วีระ สมความคิด” ยื่น ป.ป.ช.สอบยอดบริจาค-ไต่สวน-ดำเนินคดี “2 พลเอก” พบหลักฐาน “พล.อ.อุดมเดช” เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. และ “พล.อ.ศิริชัย” รมว.แรงงาน เมื่อครั้งเป็นปลัดกลาโหม มีเอี่ยว ชงเอกสาร-ข้อมูลทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ย้ำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157-กม.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตชัดเจน ปูดมีเอกสารจัดจ้างวิธีพิเศษไม่ผ่านบอร์ดพัสดุฯ สมัยนั่ง ผบ.ทบ. แถมไม่ตรวจสอบ-สั่งลงโทษ “พล.ต.สุชาติ-พ.อ.คชาชาต”
วันนี้ (8 ธ.ค.) ช่วงเช้านายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ได้นำข้อมูลและหลักฐานกรณีเชื่อว่ามีการทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ เข้าพบคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อให้ทำการไต่สวนข้อเท็จจริง และดำเนินคดีต่อ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยหนังสือที่ยื่นหนังสือสรุปได้ว่า เพื่อร้องเรียนขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาทหารบก (ผบ.ทบ.) และพล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และในฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
นายวีระกล่าวว่า เรื่องนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่กองทัพบกเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างภายในพื้นที่ของกองทัพบก โดยปรากฏหลักฐานจากสื่อมวลชนว่ามีการใช้งบประมาณแผ่นดินซึ่งมีการเบิกจ่ายงบกลางไปแล้ว 80% ของวงเงินที่ได้รับการจัดสรร 63.57 ล้านบาท และเงินบริจาคของประชาชนซึ่งเมื่อเข้ากองทัพบกแล้วถือว่าเป็นเงินของกองทัพบก โดยมีการจัดจ้างโรงหล่อทั้งหมด 6 โรง หล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ 7 องค์ ใช้งบในการก่อสร้างองค์ละ 41-45 ล้านบาท รวมเป็นเงินประมาณ 287-315 ล้านบาท ปรากฏข้อเท็จจริงว่า อาจมีการหักหัวคิว 10% จากเซียนพระชื่อ “อ.” นอกจากนี้ยังปรากฏว่า พล.ต.สุชาติ พรหมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และ พ.อ.คชาชาต บุญดี อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำกองทัพภาคที่ 3 (นายทหารคนสนิทของ พล.อ.อุดมเดช ปัจจุบันถูกถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้ว) อาจมีส่วนร่วมในการทุจริตเกี่ยวกับการจัดสร้างอุทยานฯ ดังกล่าวด้วย
ส่วนในการจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างงานปูหินสักการะ บันได และล้านชั้นบนรอบแท่นพระบรมรูป 34.9 ล้านบาท งานติดตั้งหินอ่อนรอบแท่นพระบรมรูป 11.9 ล้านบาท งานสร้างรั้วบริเวณภายในและภายนอกอุทยานราชภักดิ์ 2 โครงการ 20.2 ล้านบาท งานสร้างป้ายทางเข้าและอาคารรักษาความปลอดภัย 7.2 ล้านบาท (ทั้งหมดข้างต้นใช้งบกลาง) และการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ 7 พระองค์นั้น งานก่อสร้างดังกล่าวมีมูลค่าเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไป และเป็นการจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ แต่ไม่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
“การกระทำดังกล่าวของ พล.อ.อุดมเดช และ พล.อ.ศิริชัย จึงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 และมาตรา 12” นายวีระกล่าว
นายวีระกล่าวด้วยว่า สำหรับกรณี พล.อ.อุดมเดช ไม่ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษ พล.ต.สุชาติ กับ พ.อ.คชาชาต ที่มีส่วนพัวพันการทุจริต ซึ่งอาจเกี่ยวกับการเรียกรับเงินของเซียนพระชื่อย่อ อ. จากเจ้าของโรงหล่อ การกระทำดังกล่าวของ พล.อ.อุดมเดช เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ.จึงเป็นการกระทำความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ส่วนกรณีการจัดตั้งมูลนิธิราชภักดิ์นั้น นายวีระกล่าวว่า มูลนิธิดังกล่าวมีฐานะเป็นเอกชน ไม่ใช่ส่วนราชการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จึงไม่มีอำนาจหน้าที่เข้าไปตรวจสอบการดำเนินงาน และการรับบริจาคเงินของมูลนิธิราชภักดิ์ว่า การรับบริจาคเงินที่ได้มาตามความจริง จะตรงกับใบเสร็จที่ออกให้โดยมูลนิธิราชภักดิ์หรือไม่ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกันก็ได้ แตกต่างจากกรณีถ้าเป็นส่วนราชการ สตง.มีอำนาจหน้าที่เข้าไปตรวจสอบการรับบริจาคเงินได้ว่า ได้รับเงินบริจาคมาเท่าใด
“จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การจัดตั้งมูลนิธิราชภักดิ์เป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบเงินที่ได้รับบริจาค และเป็นช่องทางเพื่อจะทำการทุจริตเงินบริจาคสนับสนุนการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ จึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบเงินที่มีการบริจาคจริง เพื่อเข้ามูลนิธิราชภักดิ์ด้วยว่ามียอดรวมทั้งหมดจำนวนเท่าใด ตรงกับใบเสร็จที่ออกไปหรือไม่” นายวีระกล่าว
นายสุทธิ บุญมี ผอ.สำนักการข่าว สำนักงาน ป.ป.ช.กล่าวว่า ป.ป.ช.ไม่ได้ปฏิเสธที่จะเข้าไปดำเนินการในเรื่องนี้ แต่ที่ผ่านมาต้องดูข้อมูลทั้งหมดในภาพรวมในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ดีจะนำข้อร้องเรียนพร้อมหลักฐานของนายวีระเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวต่อไปหรือไม่