เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนรู้สึกรำคาญกับท่าทีของทั้งฝ่ายรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ยังละล้าละลังอิดออดไม่จัดการจัดการกับต้นตอของปัญหาให้เด็ดขาดเสียที จนทำให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบฉวยสร้างเงื่อนไขบ่อนเซาะทำลายทีละเล็กทีละน้อยได้เรื่อยๆ เป็นการเปลี่ยนหน้าออกมาท้าทายให้จับกันไป
แน่นอนว่ากลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนไม่มีเครดิต มองพลิกไปด้านหลังล้วนมีแผลเกรอะกรัง ทุกคนรู้ทันการออกมาของคนพวกนี้ว่าล้วนมีวาระซ่อนเร้น เป็นการเคลื่อนไหว “ช่วยนาย” เป็นลักษณะต้องการดิสเครดิตของ “กลุ่มอำนาจใหม่” ให้หมดความน่าเชื่อถือลงไปเรื่อยๆ และเป้าหมายสำคัญหากเกิดฟลุก “จุดไฟติด” ขึ้นมามันก็คุ้ม เพราะลงทุนเพียงแค่ไม้ขีดถูกๆ เพียงไม่กี่ก้านเท่านั้น คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้วก็ต้องบอกว่าเวลานี้มีการระดมกันออกมาพร้อมๆกันทุกทาง มีทั้งประเภทต้นทุนต่ำ เครือข่ายพรรคการเมือง หรือแม้กระทั่งเครือข่ายผลประโยชน์ข้ามชาติที่แบ่งปันกันมานานผสมโรงกันเข้ามาในเวลานี้ด้วยสูตรสำเร็จในเรื่องการเร่งรัดให้จัดการเลือกตั้ง มาในรูปประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ทุกอย่างจึงประดังเข้าใส่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติหนักหน่วงมากขึ้น และกระชั้นถี่ขึ้น
ก่อนหน้านี้เราก็ได้เห็นการออกมาใช้แผน “ยั่วใหัจับ” ของกลุ่ม “สองเกลอ” จตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งพิจารณาตามความเป็นจริงก็คือ “ลูกน้อง” ของครอบครัวทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นการเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อคราวก่อนมันจึงถูกมองว่ามีเจตนาให้เกิดเรื่อง-ให้บานปลาย แต่ก็ยังไม่ได้ผล เพราะฝ่ายทหารเขาก็ตัดเกมเด็ดขาดล็อกตัวแยกไปควบคุมตัวมีการทำสัญญาลับต่อกันบางอย่าง แถมตอนปล่อยตัวกลับบ้านยังนำกลับไปส่งกลางดึกแบบนี้มันก็ย่อมขนหัวลุกอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากภาพที่เห็นและแบ็กกราวนด์ของคนทั้งคู่มันก็ไม่มีทางจุดติดได้ง่ายๆ เพราะเหตุผลข้ออ้างเรื่องการตรวจสอบการทุจริตการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ มันไม่มีน้ำหนัก สาเหตุก็คือคนที่ออกมาเคลื่อนไหว คือ “สองเกลอ” ที่ว่านี้ชาวบ้านส่วนใหญ่เขามองออกว่ามีเจตนาไม่สุจริต เพราะคนที่เคยอยู่ฝ่ายคนโกงที่ยังมีกลิ่นเหม็นโชยตลบอบอวลอยู่กับโครงการรับจำนำข้าวที่ “นายหญิง” คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเสี่ยงคุกตะรางและที่สำคัญกำลังเสี่ยงต่อการถูกยึดทรัพย์และอีกสารพัดโครงการที่กำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาตรวจสอบ รวมทั้งยังมีหลายคดีทุจริตในศาล ด้วยเหตุที่ชาวบ้านและสังคมรู้ทันจึงทำให้ไม่มีน้ำหนัก ลักษณะที่ออกมาจึงเป็นแบบ “กระสุนด้าน”
แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณากันตามความเป็นจริงปม “ค่าหัวคิว” รวมไปถึงการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มันยังไม่เคลียร์ ยังทำให้ชาวบ้านที่ยังหวังดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้สึกกระอักกระอ่วนกับบทบาทของระดับ “บิ๊ก” ทั้งใน คสช.และรัฐบาลบางคน ที่ยังใช้วิธีแบบ “การเมืองโบราณ” ลักษณะทำให้สังคมมองว่ายังมีความพยายามปกปิด ปกป้องพวกเดียวกันสีเดียวกัน แทนที่จะจัดการให้เด็ดขาดตั้งแต่ต้นมือ ประเภทนิ้วไหนร้ายก็รีบตัดทิ้งไป นี่กลายเป็นว่าละล้าละลังไม่ตัดสินใจให้สะเด็ดน้ำเสียที
หากย้อนกลับไปพิจารณาวาเหตุก่อนหน้านี้เมื่อตอนที่เกิดเรื่อง ก็มาจากสองนายทหารที่มียศพลตรีกับพันเอก นั่นคือ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ และ อดีต พ.อ.คชาชาติ บุญดี ที่เข้าไปพัวพันในเรื่อง"ค่าหัวคิว"จากโรงหล่อพระบรมรูป และในความเป็นจริงก็คือ อดีตนายทหารทั้งสองคนดังกล่าวล้วนเป็น “นายทหารคนสนิท” ของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นคนสำคัญใน คสช.ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาในตอนต้นก็น่าจะรีบจัดการเคลียร์เสียก่อนให้ชัดเจนกันไปตั้งแต่เนิ่น มันก็คงไม่ตกเป็นขี้ปากมากนัก
แม้ว่าดูตามรูปการณ์แล้วมั่นใจว่าคงไม่บานปลายออกไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะพวกที่ออกมาเคลื่อนไหวให้ตรวจสอบคนอื่นอยู่นั้น ในความเป็นจริงคนพวกนี้แหละที่ต้องตรวจสอบด้วย และที่สำคัญมันไร้เครดิต อีกทั้งถามว่าสังคมไทยเวลานี้กระแสบ้าเลือกตั้งมันไม่ได้พุ่งสูงปรี๊ด สิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการในวันนี้คือการปฏิรูปทุกด้าน และการสร้างกลไกป้องกันการทุจริตอย่างเข้มงวดมากกว่า ซึ่งกำลังเฝ้าจับตามองเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะมีเนื้อหาอย่างไร และจะเป็นไปตามตารางเวลาที่กำหนดเอาไว้ในราวเดือนกรกฎาคมปี 60 หรือไม่
ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นกับปมอื้อฉาวของอุทยานราชภักดิ์อีกด้านหนึ่งถือว่าเป็นบทเรียนอย่างดีให้แก่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่า อย่าทำเป็นเล่น หรือไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของสังคมภายนอก ต้องพิจารณาใหม่ว่าสังคมไทยเวลานี้มีความตื่นตัวสูงมาก มีเหตุผลและรู้เท่าทันพวกนักการเมือง และที่สำคัญชาวบ้านมีความฉลาดล้ำหน้าไปไกลกว่าพวกข้าราชการเสียอีก สาเหตุก็เป็นเพราะมีการชุมนุมทางการเมืองมาอย่างยาวนานจนสามารถเรียนรู้อย่างรอบด้าน หากอธิบายถึงสาเหตุที่ชาวบ้านให้การสนับสนุนรัฐบาล โดยเฉพาะตัวผู้นำคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเพราะพวกเขามีความศรัทธา ยังมีความเชื่อมั่นว่าจะนำพาไปสู่เป้าหมายคือการปฏิรูป และทำตามโรดแมปตามที่รับปากเอาไว้
อีกด้านหนึ่งรัฐบาลและคสช.ก็ต้องรักษาน้ำใจของชาวบ้านที่เหมือนกับเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” เอาไว้ให้ ดังนั้นสิ่งไหนที่ยังไม่เคลียร์ก็ต้องรีบเคลียร์ อย่าสร้างเงื่อนไขให้น่ารำคาญโดยไม่จำเป็น และที่ต้องพิจารณากันให้หนักก็คืออย่าทำให้รู้สึกว่าปิดบังปกป้องพวกเดียวกัน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้กับการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้ง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานสอบ แม้ว่าไม่ได้ติดใจในตัวประธานสอบ แต่ความหมายก็คือ “เรื่องมันไม่จบ” เพราะมันจะถูกครหาอีกว่า “ทหารสอบทหาร” ทำไมไม่ให้หน่วยงานตรวจสอบอิสระอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตั้งแต่ต้น
หากพิจารณาจากแนวโน้มแล้วในที่สุดก็ต้องลากยาวไปถึงจุดนั้นจนได้ นั่นคือก็ต้องเปิดทางให้ป.ป.ช.เข้ามาอยู่ดี แต่ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าสถานการณ์บานปลายไปถึงไหน เพราะเรื่องแบบนี้หากพลาดขึ้นมามันก็เป็นเงื่อนไขชั้นดี ก็จะโทษใครนอกจากโทษตัวเอง ที่ยังมีวิธีคิดแบบข้าราชการโบราณ ขณะที่สังคมรอบข้างไปไกลลิบแล้ว!