แถลงการณ์ ฉ.4 พท.กัดไม่ปล่อยปมราชภักดิ์ ยกคำ ปธ.คตง.มัดใช้งบกลางสร้าง งบสูงผิดปกติ โยงสัมพันธ์ “เสธ.โต-เสธ.โจ้” แนบแน่น “บิ๊กโด่ง” ย้ำข้อเท็จจริงที่ปรากฏเพิ่มเป็นความรับผิดชอบรัฐบาล จี้ รมช.กลาโหมไขก๊อกเพื่อความสง่างาม อ้างรักษาเกียรติ ทบ.ที่มีต่อสถาบัน ชำแหละ “บิ๊กตู่” พูดสวนทางข้อเท็จจริงตลอดต้องรับผิดชอบ ปลุกหน่วยงานเกี่ยวข้องสอบ ดักให้ปลัด กห.สอบ ไม่โปร่งใส
วันนี้ (27 พ.ย.) พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์เรื่องโครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่พรรคเพื่อไทยได้มีแถลงการณ์ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558, 19 พฤศจิกายน 2558 และ 24 พฤศจิกายน 2558 เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงรายละเอียดและมาตรการดำเนินการต่างๆ กรณีมีการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับรู้และสนับสนุนโครงการอุทยานฯ มาตั้งแต่ต้น แสดงความรับผิดชอบและดำเนินการตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบ ด้วยความโปร่งใส ไม่เห็นแก่ผู้ใดนั้น ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม (พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีโครงการอุทยานฯ ทั้งๆ ที่ได้ปฏิเสธและยืนยันต่อสาธารณะมาโดยตลอดว่า โครงการอุทยานฯ ไม่เกี่ยวข้องกับทางราชการและดำเนินการโดยโปร่งใส
“ณ บัดนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงสู่สาธารณะเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม พรรคเพื่อไทยจึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ รวมทั้งเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบดังกล่าว คือ
1. ปรากฏข้อเท็จจริงกรณี นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีส่วนหนึ่งมาจากงบกลาง จำนวน 63.57 ล้านบาท โดยผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งจ่ายเงินคือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก จึงเห็นได้ว่าโครงการอุทยานฯ ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าโครงการอุทยานฯ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด
2. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรและดำเนินการก่อสร้าง มีราคาสูงผิดปกติ เช่น งานสร้างป้ายทางเข้า (ป้ายชื่อ) ใช้งบประมาณถึง 5,031,700 บาท งบประมาณสร้างอาคารรักษาความปลอดภัย 2,254,300 บาท งานก่อสร้างรั้วรอบบริเวณภายในอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบประมาณถึง 9,343,500 บาท เป็นต้น
3. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลทหารได้ออกหมายจับที่ 33/2558 และ 35/2558 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และที่ 47/2558 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ให้จับกุมดำเนินคดีต่อ พ.อ.คชาชาติ บุญดี และพล.ต.สุชาติ พรมใหม่ สำหรับ พล.ต.สุชาตินั้นเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ ซึ่งมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานมูลนิธิฯ อีกทั้งเคยทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการของ พล.อ.อุดมเดชมาตั้งแต่ครั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ร.11 รอ.พล.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารคุมหน่วยรบที่สำคัญยิ่งของกองทัพบก และครั้นเมื่อ พล.อ.อุดมเดชกำลังจะเกษียณอายุก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้แก่ พ.อ.สุชาติ พรมใหม่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อัตราพลตรี
สำหรับ พ.อ.คชาชาติ บุญดีนั้น พล.อ.อุดมเดชได้แต่งตั้งให้เป็น ผบ.กรมทหารพรานที่ 36 ทภ.3 และจากนั้นได้ย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ป.11 รอ.ทภ.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารที่มีความสำคัญในกองทัพบกเช่นกัน และสุดท้ายเมื่อ พล.อ.อุดมเดชใกล้เกษียณอายุ ก็ได้ออกคำสั่งเลื่อน พ.อ.คชาชาติเป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เมื่อ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้ยกเลิกคำสั่งพร้อมส่งตัว พ.อ.คชาชาติ บุญดี กลับกองทัพภาคที่ 3 โดยเหตุนี้ทั้ง พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ และ พ.อ.คชาชาติ บุญดี จึงเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับ พล.อ.อุดมเดช ทำหน้าที่ประหนึ่งนายทหารคนสนิท และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษต่างๆ มากมายนอกเหนือจากตำแหน่งทางทหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่ พล.ต.สุชาติถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์
พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ชี้ให้เห็นว่าโครงการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางราชการ มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในระดับชั้นต่างๆ โดยลำดับมา จึงเป็นความบกพร่องและไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
1) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อ พล.ต.สุชาติ และพ.อ.คชาชาติถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 และ 113 ตลอดจนความผิดทางอาญาอื่นๆ พล.อ.อุดมเดชจึงมีความมัวหมองอย่างยิ่งที่อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องต่างๆ ที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่ พล.อ.อุดมเดชในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ร.21 และ ผบ.ทบ. และการเป็นราชองครักษ์ จึงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อความสง่างาม เพื่อดำรงศักดิ์ศรีของกองทัพบกและเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ พล.อ.อุดมเดชไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไปแม้แต่น้อย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีต ผบ.ทบ., พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ. และพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ. จะต้องร่วมกันตัดสินใจเพื่อดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของกองทัพบก ที่มีต่อสถาบัน อย่างหาที่สุดมิได้ ให้จนได้
2) เมื่อปรากฏว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาล และรัฐบาลมีมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ จึงมีความชัดเจนว่าโครงการอุทยานฯ อยู่ในความรับรู้เห็นชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีข่าวภาพทางสื่อบ่งบอกว่า นายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้างถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกมาโดยตลอดเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์จึงสวนทางกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีพฤติกรรมปกปิด ปฏิเสธความรับผิดชอบ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของ คสช.เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว ในฐานะที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่แถลงต่อสาธารณะว่าจะปกป้องสถาบันฯ และจะป้องกันปราบปรามการทุจริต นอกจากนั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
3) เมื่อมีพฤติการณ์ว่ามีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น มีการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช., สตง., สตช. , กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ปปง. ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบโดยพลัน ทั้งนี้การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม (พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ย่อมมีปัญหาในทางหลักการว่าจะเป็นการสอบสวนด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงใดๆ และจะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ ที่ถูกต้องควรมอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้ามาตรวจสอบ จึงจะมีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า”