นายกรัฐมนตรีร่ายยาวในงานวันสิ่งแวดล้อมไทยออกช่อง 11 ฝากทุกกระทรวงทำตามแนวพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” หาทางลดขยะ ชี้โรงไฟฟ้าขยะเกิดไม่ได้เพราะขัดแย้ง ต้องรณรงค์เพิ่ม รวมทั้งป้องกันการก่อการร้าย เตือนทุกกระทรวงต้องกำหนดผลสัมฤทธิ์ เตรียมประเมินเมษาฯ นี้ ปลุกทุกฝ่ายเดินหน้าประชารัฐ บอกข้าราชการมีปัญหามาร้องเรียนได้ สั่งช่อง 11 ปรับผังรายการ ให้ใช้ภาษาชาวบ้านแจงประเทศไปไม่ได้หลายปัญหา เศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง-ไอซิสรบกัน เป็นสัญญานเตือนให้ลดความขัดแย้ง กำชับลดการใช้ก๊าซเรือนกระจกให้ได้ปีละ 5% ลดการใช้ถุงพลาสติกลงให้ได้ 88 ล้านถุง ฝากสร้างการรับรู้ โซเชียลมีเดียและบอกต่อปากแต่เรื่องดีๆ
วันนี้ (4 ธ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานกล่าวเปิดงานเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทย และวันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมู่บ้านแห่งชาติ ประจำปี 2558 “รักพ่อ รักษ์ไทย ในหัวใจสีเขียว” ซึ่งมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ตอนหนึ่งว่า รู้สึกว่าปัญหาเยอะขึ้นทุกวัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ขณะที่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับทุกคน ไม่ใช่ตนคนเดียว เรื่องของสิ่งแวดล้อมที่เราเผชิญกันอยู่ ทั้งในน้ำ อากาศ พื้นดิน เป็นของมนุษยชาติ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ต้องทำให้เกิดความมั่นคงขึ้น ผลความเสียหายจากภาวะเรือนกระจก การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การบุกรุกป่า ไฟป่า เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น ต้องให้ความสำคัญทุกเรื่อง โดยร่วมมือกันเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเกิดความยั่นยืน
นายกฯ กล่าวว่า เหตุผลเพราะโลกเจริญเติบโตมากขึ้น ทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรม ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สิ้นเปลืองไปก่อนเวลาอันควร แต่ต่างประเทศที่ลงทุนในไทยก็ยังอยู่กับเรา เพราะไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน แม้จะเป็นประเทศเล็กๆ ดังนั้น ต้องมาดูในอาเซียน มีป่า มีน้ำ เหลือเท่าไร ที่ผ่านมาประเทศไทยยังโชคดีไม่พายุที่รุนแรงเหมือนต่างประเทศ แต่ก็เคยผ่านเหตุการณ์น้ำท่วม จนทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ว่าด้วย เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา หมายถึงเข้าใจพื้นที่ ประชาชน และปัญหา และแนวทางการแก้ปัญหา ที่ต้องไม่สร้างความขัดแย้งใหม่ ฝากให้ทุกระทรวงไปดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชดำรัสดังกล่าว ร่วมกันสร้างจิตสำนึก เพราะวันนี้ยังไม่ชัดเจน
นายกฯ กล่าวว่า อย่างเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมในการลดขยะ ซึ่งตนได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินการ โดยต่างประเทศนำขยะไปสร้างพลังงาน ขณะที่ขยะบ้านเรามีคุณภาพมากกว่า สามารถสร้างพลังงานได้สูง แต่วันนี้กลับใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะมีความไม่เข้าใจ มีความขัดแย้ง ดังนั้นต้องรณรงค์เพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การเจริญเติบโตด้านอุตสาหกรรม ต้องสร้างความเชื่อมโยงกันให้เป็นหนึ่งเดียว รวมไปถึงการป้องกันแก้ไขปัญหาก่อการร้าย ถือเป็นภาระของโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นต้องมติประชาคม พันธสัญญา มาปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ทำให้เกิดการจับต้องได้ เป็นรูปธรม ไม่ใช่แค่นามธรรม
“ทุกกระทรวงต้องกำหนดผลสัมฤทธิ์ โดยผมจะประเมินผลในเดือน เม.ย.ใหม่ทั้งหมด ทั้งในเรื่องความประพฤติ ผลงานที่ทำอยู่ และผลความพึ่งพอใจของประชาชนด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาล ข้าราชการ ประชาสังคม เอ็นจีโอ เอกชน ต้องเดินหน้าประชารัฐ บริหารงานจากข้างบนลงสู่ข้างล่าง คือจากนโยบายไปสู่การขับเคลื่อนและไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งถ้ามีปัญหาก็ส่งกลับมาที่ข้างบน ที่ผ่านมา วันหนึ่งตนสั่งงานเป็นร้อยเรื่อง ตลอด 2 ปีรวมเป็นพันกว่าเรื่อง สั่งจนงงหมดแล้ว
“ผมไม่ได้เข้ามาเพื่ออยู่ให้นาน แต่เข้ามาเพื่อปฏิรูป หรือใครไม่ต้องการ สิ่งที่ผมคิด สิ่งที่ผมทำ มันจะไปได้ไม่ได้เลย ถ้าไม่ช่วยกัน จะกลายเป็นความขัดแย้งทุกเรื่องไป วันนี้ติดกับดักตัวเองทั้งนั้น ผลประโยชน์ตัวเองต้องลดลง ร่วมมือกัน ข้าราชการต้องดูแลเอาใจใส่ประชาชนด้วย ไม่ใช่บังคับใช้กฎหมายอย่างเดียว ทุกอย่างต้องขับเคลื่อนต้องทำให้เกิดการปฏิรูปให้ได้ภายในปี 2560 แล้วส่งให้รัฐบาลต่อไป” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า หากข้าราชการมีปัญหาในการทำงาน สามารถแจ้งมาที่ตนได้ที่ทำเนียบรัฐบาล หรือศูนย์ดำรงธรรม ซึ่งปีที่ผ่านมาแก้ปัญหาไปแล้วกว่า 9 แสนเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ถูกละเลย สวนปัญหาที่เหลือจำเป็นต้องแก้กฎหมายหรือต้องใช้มาตรา 44 ในการดำเนินการ เช่น เรื่องขยะสามารถแก้ปัญหาได้หากเกิดขึ้นจากใจ หรือจะต้องให้ใช้มาตรา 44 ไปจับคนทิ้งขยะหรืออย่างไร รัฐบาลมีหน้าที่บูรณาการทำงานให้ทั่วถึง จากนี้ตนจะดูแลข้าราชการให้มีความเข้มแข็งไม่ให้ถูกทาบทับ แต่ก็ไม่ให้ต่อต้านเพราะจะผิดวินัย ตนอยากให้มีการกำหนดกรอบการทำงานระยะที่หนึ่งตั้งแต่ปี 2557 - 2561 ในการปรับโครงสร้างใหญ่ๆ เพื่อให้ทุกอย่างเดินไปได้ และที่พูดว่าปี 2561นั้นเนื่องจากตนจะอยู่ถึงปี 2560 แต่ต้องทำงบประมาณของปี 2561 ด้วย ต้องบูรณาการในการจัดทำงบประมาณ ส่วนที่เหลือก็ให้รัฐบาลต่อไปดำเนินการ เพราะการปฏิรูปต้องใช้เวลาในการดำเนินการ ซึ่งเรื่องสำคัญที่สุดคือการวางแนวทางการป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น ตนไม่เคยต้องการผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้ถ่ายทอดไม่ต้องหมดก็ได้ ตนพูดยาวช่อง 11 มีปัญหาอะไรหรือไม่ เมื่อเช้าได้สั่งช่อง 11 ปรับแผนผังรายการใหม่ ถ้าปรับไม่ได้ตนจะปรับเอง เราต้องให้คนเรียนรู้พูดภาษาที่เขาเข้าใจ อย่าพูดภาษาราชการ และที่ตนพูดเยอะเพราะต้องการสร้างความเข้าใจ แต่ก็ยังมีคนไม่เข้าใจอยู่เพราะไม่ฟังตั้งแต่ต้น และที่พูดในรายการคืนความสุขให้คนในชาตินั้น มีการประเมินคะแนนว่าคนฟังมากน้อยเท่าไหร่ แต่ตนไม่สนใจคะแนนตก เพราะก็ยังต้องพูดต่อไป ต้องรับผิดชอบ ก่อนหน้านี้เคยมีใครบอกหรือไม่ว่าอนาคตประเทศจะเป็นอย่างไร ที่ไม่บอกเพราะไม่พร้อมจะทำ ไม่มีการเตรียมโครงสร้างหารายได้เข้าประเทศ และจะมีปัญหาโลกร้อนเข้ามาอีก
นายกฯ กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องเจ็บตาย ไม่ต้องมีผู้เสียสละ ที่ต้องเสียสละให้แกนนำเป็นผู้เสีย อย่ามากันอีกแล้วกัน ไม่ใช่เขาบิดเบือนอะไรแล้วมา แล้วได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้อะไรสักอย่าง ต้องมาแก้กันเต็มไปหมด เรียกค่าเสียหาย เราทำเต็มที่ในการสร้างกลไกต่างๆ เพื่อให้เกิดขึ้นในรัฐบาลต่อไปให้ได้ ให้เกิดความโปร่งใสสุจริต วันนี้ยังได้ยินว่ามีคนนำชื่อตนไปอ้าง ตนไม่รู้จักใคร ไม่มีใครมาหาตนได้ที่บ้าน หากมีงานให้มาหาที่ทำเนียบฯ แต่ก็มีคนส่งข้อความมาให้ตนทางโทรศัพท์ ซึ่งดูแล้วไม่มีใครดีสักคน เหลือตนดีคนเดียวซึ่งมันไม่ใช่ นี่คืออันตรายของโซเชียลมีเดีย เราต้องมาดูว่าการพัฒนาประเทศให้เป็นเศรษฐกิจดิจิตอลต้องทำอย่างไร
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้ที่ประเทศไทยไปไม่ได้เพราะเศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง ภาษีน้ำมันก็ลดลง เราต้องกัดฟันสู้ไป เพราะใครจะไปรู้ว่าน้ำมันจะลง ใครจะไปรู้ว่าไอซิส (กลุ่มรัฐอิสลาม) จะรบกัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้ เราต้องลดความขัดแย้งเอากฎหมายมาว่ากัน
นายกฯ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สื่อเสนอในวันนี้ต้องเป็นเรื่องของตำรวจ ไม่อย่างนั้นไม่ต้องมีตำรวจจ้างยามก็ได้ ให้เขาทำหน้าที่ของเขา ให้ศาลให้องค์กรอิสระทำงาน ขั้นตอนเขามีอยู่แล้วกรรมสอบสวนเป็นอย่างไร ตนไม่อยากให้มีปัญหา ถ้าทำความผิดคือผิด ถ้าไม่ทำความผิดก็สอบสวนให้ความเป็นธรรมเท่านั้นเอง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทุกครั้งที่ตนเดินทางไปต่างประเทศ ตนได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปถ่ายทอดให้ชาวต่างชาติในเวทีโลก ได้รับรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ประเทศกำลังพัฒนาทำอะไร แต่ก็ไม่เข้าใจว่าที่ผ่านมาเหตุใด รัฐบาลถึงไม่ทำแบบนี้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะดูแลปัญหาเรื่องที่ดินทำกินให้ แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่า ป่าและที่ดินนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะทุกคนยังยึดติดเพียงว่าต้องมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง โดยทุกคนต้องการเป็นเจ้าของที่ดิน มีการกู้หนี้ ยืมสิน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องหนี้สินต่างๆ แม้แต่ตอนนี้ปัญหาหนี้สินของครูก็มีปัญหามาก เรื่องนี้กระทรวงศึกษาธิการเองก็กำลังจะแก้ไข ซึ่งตนเองได้มอบให้เร่งแก้ปัญหานี้ ถ้าใครไม่แก้ตนจะแก้เอง
นายกฯ กล่าวว่า เรื่องการเกษตรทุกคนก็ต้องรู้จักเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้รู้จักใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ทำอะไรก็ทำแบบเดิมๆ โดยต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นฐานข้อมูล ทั้งการพัฒนาด้านการเกษตร ซึ่งแอปพิเคชั่นสมัยใหม่นั้นสามารถเข้าถึงได้หลากหลาย และยังสามารถค้นคว้าได้รวดเร็วจากโทรศัพท์มือถือที่มีกันอยู่ทุกคน และทุกวันนี้ส่วนราชการส่วนใหญ่ก็มีแอปพลิเคชัน ก็ขอให้เข้าไปค้นคว้ากันบ้าง
นายกฯ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้ทุกกระทรวงขับเคลื่อนแผนงานของรัฐบาลให้ได้ ซึ่งจากการประชุมโลกร้อนครั้งที่ผ่านมาที่กรุงปารีส ตนได้กำชับให้ไทยพยายามลดการใช้ก๊าซเรือนกระจกให้ได้ปีละ 5% โดยต้องมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไว้ที่ 20 ปี ดังนั้นจึงต้องมีการรักษาป่าไม้ น้ำ อยากให้ทุกคนลดการใช้ถุงพลาสติกลงให้ได้ 88 ล้านถุง เท่ากับตัวเลขประชากร ดังนั้นเพียงแต่คนละถุงก็ได้แล้ว และเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าแทน นอกจากนี้ยังต้องทำให้การศึกษาดีขึ้นด้วย ส่วนปัญหาในเรื่องของระบบการศึกษาไทยนั้นก็ไม่รู้ว่าจะโทษใคร แต่จะพยายามแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด ถ้าทุกคนยังอยากให้ตนแก้ไข แต่ถ้าไม่ต้องการให้ตนทำ ก็จะไม่ทำ
นายกฯ กล่าวว่า เราต้องการให้ประเทศไทยเป็นธรรมาภิบาล โดยประเทศต้องเดินหน้าไปได้ด้วยการที่ทุกคนต้องร่วมมือกับตน วันนี้ มีการทักท้วงเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน และเมื่อตนใช้มาตรา 44 ก็มีปัญหาอีก ยืนยันว่าไม่ได้อยากใช้ เว้นแต่เอาไว้ปราบคนที่แย่ๆ ที่บอกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นก็ต้องถามว่าถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจด้วยการบอกกันปากต่อปาก เพราะเราไม่อยากให้ประเทศกลับไปเป็นแบบเดิม
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การเมืองไทยต้องเปลี่ยนกติกาใหม่ เราต้องทำประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง มีธรรมาภิบาล ทุกคนต้องร่วมมือกับตน หากไม่ร่วมมือก็ไปไม่ได้ บางกลุ่มชอบอ้างสิทธิมนุษยชนอะไรก็แล้วแต่ เรื่องมาตรา 44 ตนไม่ได้อยากใช้เลย เว้นแต่กับบางคนที่มันแย่ๆ เขาประกาศไปแล้วว่า บางอย่างห้ามทำ ไอ้นี่ก็ยังจะทำ แล้วก็บอกว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
วันนี้ทุกท่านต้องช่วยตน มีสองอย่างที่ต้องสร้างการรับรู้ คือโซเชียลมีเดีย และการบอกปากต่อปาก ให้บอกในสิ่งที่ดี แต่ส่วนใหญ่กลับบอกกันแต่สิ่งไม่ดี เพราะไม่เข้าใจกัน ซึ่งต้องเข้าใจกันก่อนว่าตอนนี้ปัญหาประเทศอยู่ที่ไหน เราจะร่วมในกระบวนการบริหารจัดการด้วยกันอย่างไร กฎหมายต้องมีอย่างไร รัฐธรรมนูญต้องเขียนอย่างไร ต้องทำให้ได้ตามนั้น และมันอยู่ที่ท่านทุกคน อำนาจเป็นของพวกท่านทุกคน เวลาทำประชามติหรือเลือกตั้งต้องออกมาให้หมดทั้ง 40 กว่าล้านคน มันเปลี่ยนแปลงแน่นอน จะเลือกก็ได้ ไม่เลือกซักคนก็ได้ บางคนก็บอกว่าไม่ชอบการเมือง ที่ผ่านมามีคนแค่ 20 กว่าล้านคนเลือกรัฐบาลตลอดมา ใช่หรือไม่ ข้างบน 10 เปอร์เซ็นต์ ตรงกลาง 30 ข้างล่าง 60 นักการเมืองก็เลือกเอาแต่กลุ่มข้างล่าง เพราะเขาไปเลือกด้วยความไม่รู้ ซึ่งบางทีเลือกใคร พรรคอะไร ยังไม่รู้จักเลย แต่วันนี้มีความชัดเจนขึ้น ตนอยากให้ท่านสอบถาม คนที่ออกมาพูดทุกวันนี้ ว่า มีวิสัยทัศน์กับประเทศนี้อย่างไร เมื่อประชาชนจะเลือกท่านมาเป็นรัฐบาล จะแก้ปัญหาเรื่อง น้ำ สิ่งแวดล้อม ขยะ อย่างไร วันนี้มีแต่เรื่อง อำนาจ กับประชาชน อำนาจเป็นของประชาชนใช่หรือไม่ แล้วท่านจะให้เขากลับมาทำร้ายท่านหรือ
“การเลือกตั้งคืออะไร คือพิธีกรรมหรือวิธีการหรือไม่ ท่านจะให้คนที่ดีมาบริหารบ้านเมืองหรือเปล่า หรือท่านจะเขียนเช็คที่ไม่ได้ลงชื่อ ลงจำนวน ให้เขาไปใช้ ท่านคิดว่าท่านได้ประโยชน์แล้ว มันได้กี่คน ได้หมดหรือไม่ ไม่หมดหรอกครับ เพราะมันมีอยู่แค่นี้ เราก็ต้องไปหาทุนเพิ่ม เพราะมันมีงบประมาณจำกัดอยู่แล้ว มาดูในสิ่งที่มันพึงได้ แล้วก็แยกเป็นกลุ่มเต็มไปหมด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว และว่าอยากให้ทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนประเทศ โดยมีประชาชนเป็นผู้ให้น้ำมัน และจะนำรถคนนี้ไปรับประชาชนที่มีรายได้น้อยทั้งหมดขึ้นมา แล้วส่งที่แพของตนแต่ไม่ใช่เรือแป๊ะ ซึ่งแพของตนจะมีคนไทยทุกระดับชั้น