เมืองไทย 360 องศา
หากสังเกตให้ดีจะพบว่า เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เริ่มมีอาการเครียดแบบ “อารมณ์หลุด” ออกมาให้เห็นบ่อยขึ้น โดยเฉพาะการระบายผ่านทางสื่อมวลชน แต่ขณะเดียวกันอาการแบบนั้นอีกทางหนึ่งก็เป็นความ “จงใจ” ที่ต้องการสื่อออกไปให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นกันแบบไม่อ้อมค้อม
หากมองอีกมุมหนึ่งตามความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่า ด้วยระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจจนถึงเวลานี้ ก็ต้องเรียกว่า “ถึงเวลาที่ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์” กันได้แล้ว เพราะตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดออกมาจากปากเองว่า หากนับจากการเข้ามาในฐานะหัวหน้า คสช. จนถึงวันนี้ ก็สองปีกว่าเข้าไปแล้ว ในฐานะนายกฯ ก็ปีกว่า ระยะเวลาแบบนี้ในทางการเมืองถือว่า “พอสมควร” แล้ว
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มักจะอ้าง “สถานการณ์ไม่ปกติ” อยู่ตลอดเวลา คำถามก็คือ มันไม่ปกติจริงหรือไม่ หรือว่าพยายามกดเอาไว้ไม่ให้ปกติหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี นาทีนี้หากพิจารณากันตามความเป็นจริงยังเชื่อว่า “สังคมส่วนใหญ่” ยังไม่ได้สงสัยต่อความเป็นผู้นำของเขา พิสูจน์ได้จากผลสำรวจที่ออกมา ทุกสำนักแบบเดียวกันนั่นคือ ความนิยมศรัทธามหาชนยังอยู่ในระดับที่สูง
แต่ขณะเดียวกัน เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด เพราะบางครั้งบทที่พุ่งปรี๊ด อยู่ดีมันก็กลับตาลปัตรเป็นตรงข้ามได้ทุกเมื่อ และที่สำคัญด้วยระยะเวลาผ่านมาเริ่มเนิ่นนานออกไปแบบนี้ ยิ่งไม่อาจนำมาอ้างเรื่อง “ขอเวลา” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้ว หลายเรื่องต้องเริ่มเห็นผลงานออกมาบ้างแล้ว หรืออย่างน้อยต้องมีแนวโน้มในทางบวกให้เห็นบ้าง
หากพิจารณาตามสถานการณ์รอบตัวก็ต้องบอกว่า เริ่มมีเสียงวิจารณ์ในทางลบเข้ามามากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่พวก “คนกันเอง” ที่แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยบ่นออกมาให้ได้ยินเหมือนกัน ส่วนพวกฝ่ายตรงข้ามอย่าง พรรคเพื่อไทย เครือข่ายทักษิณ ชินวัตร นั้นไม่ต้องพูดถึง ได้จังหวะก็ดาหน้าถล่มกันทุกดอก ถูกบ้างผิดบ้าง มั่วบ้าง แต่บางเรื่องแม้ว่าสังคมดูออกว่า นี่คือ รายการถล่มมั่วตามน้ำ เช่น กรณีข่าวทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่กว่าจะมีการ “ตั้งหลัก” ไฟเขียวให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงภายในหนึ่งสัปดาห์ ก็ทำเอาเสียหายกันไปไม่ใช่น้อย
แน่นอนว่า กรณีการทุจริตเรียกค่าหัวคิวในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ถูกมองเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความผิดส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับองค์กร แต่ตอนนี้สังคมมองว่า “วิธีการจัดการปัญหาไม่ถูกต้อง” กับการที่นำเงินค่าหัวคิว วกกลับมาเป็นเงินบริจาค ที่สำคัญ ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขออกมาให้ชัดเจน แม้ว่าเป็นความผิดส่วนตัว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่ทำผิดนั้นเคยเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับคนที่เป็น “หัวเรือใหญ่” ในการควบคุมโครงการ คือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร มาตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ. ต่อเนื่องมาจนถึง รมช.กลาโหม และเมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาวแบบนี้ขึ้นมา มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องเกิดแรงกดดันใหั เขาต้องแสดง “ความรับผิดชอบ”
ขณะเดียวกัน ที่น่าจับตาก็คือการตั้งคณะกรรมการสอบสวนของ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. เพื่อสอบสวนการทุจริต โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ให้รู้ผลภายในหนึ่งสัปดาห์ ว่าจะได้ข้อเท็จจริงแบบไหน จะเป็นจริงตามที่มีรายงานข่าวออกมาก่อนหน้านี้ หรือไม่
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้เหมือนกับได้จังหวะได้ทีขย้ำของฝ่ายตรงข้ามอย่าง พรรคเพื่อไทย ที่หยิบยกเอาสารพัดเหตุผลออกมาอ้าง และในความหมายที่น่าเจ็บปวด ก็คือ รัฐบาลนี้คุยว่าเน้นในเรื่องการปราบปรามทุจริต แต่กลับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แม้ว่าจะต้องรอผลการสอบสวนที่จะต้องออกมาภายใน 2-3 วันนี้ แต่ตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่า “เสียหาย” ไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อวกกลับมาที่ผลงานของรัฐบาลกันบ้าง หากไม่พูดถึงเรื่องโรดแมป การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนแบบ “โยนหินถามทาง” ในเรื่อง “นายกฯ คนนอก” แล้วต้องบอกว่า “ผลงานยังจับต้องไม่ได้” โดยเฉพาะเรื่องปัญหาปากท้อง ของแพง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ยังไม่มีทีท่าจะฟื้น กิจการบริษัทล้วนย่ำแย่ มีรายงานออกมาเกี่ยวกับการทยอยปลดคนงาน หมดยุคการจ่ายโบนัส ขึ้นเงินเดือน
ที่ผ่านมามักจะอ้างว่ามาจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมยาก มันก็อาจจะใช่ หรือไม่ใช่ แต่สำหรับชาวบ้านนั้นคงเข้าใจยาก และเคยมีความคาดหวังไว้สูงว่า ในเมื่อยอมนิ่งเฉยปล่อยให้ทำงานกันเต็มที่ แต่ผลงานออกมาแบบนี้ มันก็น่าผิดหวังเหมือนกัน ประกอบกับมีเรื่องอื้อฉาวที่เริ่มเล็ดลอดออกมาให้เห็นมากขึ้นก็น่าจับตาเหมือนกัน
นอกจากนี้ การประกาศว่าจะอยู่ในตำแหน่ง ตามโรดแมป จนถึงเดือน ก.ค. 60 หรืออีกราว 16 เดือน ของ พล.อ.ประยุทธ์ ตามแรงกดดันจากนานาชาติ อีกด้านหนึ่งมันก็กลายเป็นดาบสองคมเหมือนกัน แต่อีกทางหนึ่งมันก็เป็นผลเสีย นั่นคือ ทำให้บรรดาข้าราชการ “เกียร์ว่าง” เพราะรู้ว่าอีกไม่นานก็จะไปแล้ว
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เริ่มเห็นอาการนั่งไม่ติดของรัฐบาล ต้องเร่งประชุม “ขันนอต” ทุกกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจระดับเกรดเอ ให้รีบขับเคลื่อนให้มีผลงานออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม โครงการขนาดใหญ่ที่ยังอืดอาดล่าช้า จนมีการเร่งรัด ลดขั้นตอนให้สั้นลงจากเดิมที่ต้องใช้เวลานานแบบเรื่อยๆ หรือสองปีให้เหลือแค่ประมาณ 9 เดือน มีการกำหนดตารางเวลาออกมาให้ชัดเจน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพอถึงเวลาจริงจะทำได้แค่ไหน
ดังนั้น แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ได้สรุปชัดเจนออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะกลับมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี “แบบคนนอก” หลังรัฐธรรมนูญใหม่ออกมาบังคับใช้ มีแต่เสียงเชียร์ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่าเขากำลังนั่งไม่ติด เพราะเริ่มมีแรงกดดันมากขึ้นในเรื่องผลงานว่าจะทำได้ดีแค่ไหน โดยเฉพาะในปีหน้าต้องเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว ไม่มีข้ออ้างอีกแล้ว และที่สำคัญ ถึงตอนนั้น ชาวบ้านที่รอคอยยังอดทนได้ต่อไปอีกหรือไม่!