อดีต ส.ส. ปาร์ตีลิสต์ ปชป. สงสัย ขสมก. ไม่เซ็นสัญญาซื้อรถเมล์ NGV ปรับอากาศ 489 คัน ทำชาว กทม. ใช้รถเมล์ทรุดโทรม เพราะใช้งานมากว่า 20 ปี
นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลังจากที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ตัดสินให้ กิจการร่วมค้า เจวีซีซี เป็นผู้ชนะการประมูลจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศ NGV จำนวน 489 คัน ด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีการเซ็นสัญญา หลังจากการตัดสินของ ขสมก. ทำให้บริษัทที่แพ้การประมูล คือ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ได้ร้องต่อศาลปกครอง และศาลอาญาว่าการประมูลไม่เป็นธรรม แต่ทั้งสองศาลก็ยกคำร้อง อย่างไรก็ตาม บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ไม่ละความพยายามโดยได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) และร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อคณะอนุกรรมาธิการด้านการคมนาคมทางบกและทางราง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
นายสามารถ กล่าวว่า ข้ออุทธรณ์และข้อร้องเรียนหลัก ๆ ของบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด มีดังนี้ 1. เอกสารรับรอง ISO ของโรงงานที่จะใช้ประกอบรถของ กิจการร่วมค้า เจวีซีซี หมดอายุแล้ว ณ วันยื่นเอกสาร 2. เอกสารแสดงผลงานเคยขายรถยนต์โดยสารปรับอากาศ NGV ขนาดความยาว 12 เมตร ไม่น่าเชื่อถือ 3. ไม่มีเอกสารแสดงผลงานการซ่อมบำรุงรถโดยสารใช้เครื่องยนต์ NGV 4. มีการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงเอกสารรายละเอียดแผนการซ่อมบำรุงรักษาหลายครั้งในระหว่างการเจรจาค่าซ่อม ซึ่งเอกสารทั้ง 4 รายการดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นเอกสารหลักที่ใช้ในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เข้ายื่นเสนอราคาตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (Terms of Reference หรือ TOR) หากผู้ยื่นเสนอราคาขาดเอกสารรายการใดรายการหนึ่งถือว่ามีคุณสมบัติไม่ครบ ไม่สามารถเข้าประมูลได้
นายสามารถ กล่าวว่า กวพ.อ. ได้แจ้งผลการพิจารณาคำอุทธรณ์กลับไปยัง บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 สรุป ดังนี้ 1. การแก้ไขและเปลี่ยนแปลงเอกสารระหว่างการเจรจาค่าซ่อมนั้น เป็นการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งเป็นขั้นตอนแยกต่างหาก ไม่อยู่ในอำนาจของ กวพ.อ. 2. กรณีเอกสารที่ไม่ถูกต้องเป็นดุลพินิจของกรรมการประกวดราคาของ ขสมก. ไม่เกี่ยวกับ กวพ.อ. โดยสรุป ความเห็นของ กวพ.อ. ก็คือ การประกวดราคาเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ทุกประการ
นายสามารถ กล่าวว่า ส่วนคณะอนุกรรมาธิการด้านการคมนาคมทางบกและทางราง สนช. ได้รายงานผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนไปยังกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558 ว่า 1. เรื่องเอกสารรับรอง ISO หมดอายุระหว่างการยื่นเสนอราคาไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญ เพราะได้รับการต่ออายุในภายหลัง 2. ประเด็นคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่เคยขายรถโดยสารเพียง 1 คัน และไม่มีการ ตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้งานของรถคันดังกล่าวนั้น แม้ ขสมก. ได้ชี้แจงว่า มีการประกันสัญญา แต่การประกันสัญญาก็ไม่ได้เป็นหลักประกันคุณภาพรถได้ หากไม่มีการตรวจสอบประสิทธิภาพรถที่จะซื้อนั้นให้ชัดเจนเชื่อถือได้ 3. ประเด็นคุณสมบัติทางด้านการซ่อมบำรุงรักษา พบว่า เอกสารที่ใช้ยื่นเป็นเอกสารที่กรมการขนส่งทางบกรับรองให้ติดตั้งเครื่องยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติและส่วนควบเท่านั้น ไม่ใช่เอกสารแสดงผลงานการซ่อมบำรุงรักษาแต่อย่างใด ดังนั้น คณะอนุกรรมาธิการ จึงมีความเห็นว่า ขสมก. ควรพิจารณาทบทวนคุณสมบัติการซ่อมบำรุงรักษาของกิจการร่วมค้า เจวีซีซี
“จากรายงานผลการพิจารณาของสองหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น ขสมก. น่าจะมีข้อมูลเพียงพอที่จะพิจารณาว่าควรจะเซ็นสัญญาซื้อรถเมล์ NGV ปรับอากาศจำนวน 489 คันหรือไม่ เป็นเพราะเหตุใด ขสมก. จึงไม่กล้าเซ็นสัญญา ปล่อยให้คนกรุงต้องทนใช้รถเมล์ที่ชำรุดทรุดโทรม เนื่องจากมีอายุการใช้งานนานกว่า 20 ปี เรื่องนี้เห็นทีจะต้องตามติดอย่างไม่กะพริบตา” นายาสามารถ กล่าว