ป้อมพระสุเมรุ
สีสันการเมืองในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านลดไปเกินครึ่ง หลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ตัดสินใจดัดหลังสื่อ รูดซิบปากไม่ยอมออกมาให้สัมภาษณ์ประเด็นการเมือง ตามคำแนะนำของ “กุนซือตึกไทยคู่ฟ้า”
อาการหลุดของ “บิ๊กตู่” ที่มีให้เห็นบ่อยครั้งอยู่เหนือความควบคุม ทางเดียวที่จะไม่ให้ท่านผู้นำออกอาการน็อตหลุดมาให้เห็น จึงจำเป็นที่ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพื่อไม่ให้ไฟพัดมาเผาตัว “บิ๊กตู่” เองจึงต้องงดให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน
บรรดา “กุนซือตึกไทยคู่ฟ้า” กางตำราประเมินแล้วว่าได้ไม่คุ้มเสีย เพราะยังมี“บางสื่อ” ที่ต้องการเสี้ยมให้นายกฯ น๊อตหลุด แล้วหาประเด็นพาดหัวข่าวดิสเครดิตไปในตัว
เมื่อยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว ยิ่งพูดยิ่งเจ็บ “บิ๊กตู่” เลือกที่จะนิ่งเก็บอาการเพื่อไม่ต้องเป็นเหยื่อของ “ขั้วตรงข้าม” ที่แฝงตัวมาในคราบ “สื่อ”
นอกจากนี้ยุทธศาสตร์ “นิ่ง” แล้ว “ทีมโฆษกรัฐบาล” ยังต้องปรับขบวนกันใหม่ เลือกที่จะชี้แจงแบบถาม-ตอบกับ “สื่อ” ให้น้อยลง โดยเลือกใช้วิธีการสื่อสารทางเดียวมากกว่า
สังเกตปฏิกิริยาของ “เสธ.ไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่แทบจะไม่มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อแบบถามตอบเลย แต่เลือกที่จะใช้ช่องทางไลน์ที่ชี้แจงทั้งหมดเพียงฝั่งเดียว
หน่ำซ้ำยังมีรายการสารจากนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เน้นเรตติ้งพร้อมออกอากาศทันที ที่มีเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องการจะชี้แจง โดยไม่ต้องผ่านช่องทาง “สื่อ” เพื่อลดแรงเสียดทานที่อาจจะเกิดขึ้น
“กุนซือตึกไทยคู่ฟ้า” คิดพลิกเกมสื่อสารทางเดียว ไม่ต้องถาม-ไม่ต้องตอบ รอฟังที่สิ่งที่รัฐบาลต้องการจะป้อนให้เท่านั้นเอง
ข้อดีคือ คุมทิศทางข่าวได้แบบเบ็ดเสร็จ ข้อเสียคือประเด็นที่รัฐบาลชี้แจงอาจจะไม่ครบถ้วน สิ่งที่ประชาชนอยากรู้มันแตกต่างกับสิ่งที่รัฐบาลอยากให้รู้ ดังนั้นหากบิ๊กตู่-กุนซือตึกไทยคู่ฟ้า ประเมินสถานการณ์พลาดอาจจะไม่ชี้แจงเหตุการณ์สำคัญไม่ทันการณ์ได้
ทว่าเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ “บิ๊กตู่” เลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์ต่อ “สื่อ” ตามคำสารภาพจาก “เสธ.ไก่อู” คือไทม์มิ่งการเมืองหลังจากนี้ จะมี “คดีความ” สำคัญของ “ขั้วการเมือง” ทั้ง ขั้วแดง-ขั้วเหลือง ขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาของศาลจำนวนมาก
หาก “บิ๊กตู่” จะมาตอบข้อสงสัยของ “สื่อ” ในทุกคดีอาจจะถูกมองว่า “ชี้นำ” ทางคดีได้ โดยเฉพาะ “คดีรับจำนำข้าว” ที่กระบวนทางชั้นศาล เดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว จน “ทีมทนายปูแดง” เปิดตำรารับแทบไม่ทัน
“เสธ.ไก่อู” ยกตัวอย่างฟ้องแพ่งรับจำนำข้าว ที่เรียกร้องค่าเสียหายจาก “เจ๊ปูแดง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่ง “บิ๊กตู่” ใช้อำนาจทางปกครองเรียกร้องค่าเสียหาย ซึ่งสามารถทำได้ตามอำนาจใน พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง แต่ยังโดนนำไปโจมตี
แต่ที่แสบที่สุดคงหนีไม่พ้นที่ “ทนายอ่อนหัด” อย่าง “นรวิชญ์ หล้าแหล่ง” ทนายความยิ่งลักษณ์ สบช่องออกมาโจมตี “บิ๊กตู่” ว่าเคยให้สัมภาษณ์ ไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าว จึงถือว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับคดีนี้
ช่องว่างนี้ถูกนำไปขยายความต่อในโซเชี่ยลมีเดียของ “ไพร่แดง” จนแชร์ต่อกันจำนวนมาก โดยเฉพาะทางไลน์ จนทำให้ “ชาวนา” เข้าใจเจตนาของ “บิ๊กตู่” ผิดไป
และหากกางกรอบเวลาที่ “ปูแดง” ต้องจ่ายค่าเสียหาย โครงการรับจำนำข้าวคงมีเวลาอีกไม่กี่เดือน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าหมดอายุความ ระยะเวลาอายุความที่งวดเข้ามา ไม่เป็นผลดีแน่หาก “บิ๊กตู่” ยังออกมาให้สัมภาษณ์ประเด็นนี้
คำถามที่ถูกทีมทนายปูแดงเช็ตขึ้น คำถามที่ “สื่อ” อาจจะเซ็ตขึ้นเอง หาก “บิ๊กตู่” ตอบด้วยสภาวะอารมณ์บ่จอย มีหวังถูกนำไปเล่นงานอีกแน่
ที่สำคัญสุด คำตอบของ “บิ๊กตู่” จะถูก “ทีมทนายอ่อนหัด” นำไปใช้หักล้างในชั้นศาลได้ เพราะทีมทนายชุดนี้ ตามประวัติการทำงาน ที่แพ้คดีมารวด มักจะไม่ค่อยหาหลักฐาน หรือข้อต่อสู้ทางกฎหมายมาโต้แย้งหลักฐาน เพราะรู้ตัวดีว่า ไม่เก่ง-ไม่แม่นกฎหมายพอ
จึงจ้องจะหาแค่คำพูดของคู่ความที่อาจจะเผลอหลุดบ้างในบางครั้ง นำไปกล่าวอ้างในชั้นศาล เพื่อปกป้องว่าลูกความของตัวเอง "ถูกรังแก" ทั้งที่ตามข้อกฎหมายแล้ว คนละเรื่อง-คนละความกัน
และยิ่งเห็นบท ดราม่าของ "ปูแดง" ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ออกมาโวยวายว่าโดน "ทหาร" ตามประกบติดจนแทบจะเดินทางไปไหนไม่ได้ ทั้งที่โดนตามมาตลอด แต่เพิ่งออกมาโวยวาย
สอดรับกับพวก "นักรบแดงไซเบอร์" ที่เริ่มเขย่าขวัญ คสช.เล่นบทดราม่า เรียกน้ำตาสงสาร "ปูแดง" เหมือนกัน แชร์ข้อความนัดแต่ง "เสื้อแดง" พร้อมกัน ในวันที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อให้กำลังใจ "ปูแดง" แม้ "แกนนำคนเสื้อแดง" จะปัดความรับผิดชอบ แต่แว่วมาว่า ระดับ "แกนนำนปช." หลายคน ยืนยันจะใส่เสื้อแดง
เมื่อ "สมุนแม้ว-ไพร่แดง" ถูกรุกไล่จนกระดาน ไม่มีหลักฐาน-ไม่มีข้อกฎหมายให้สู้ ทางเดียวมี่จะอยู่รอดคือต้องอยู่ในห้อมล้อมของ "คนเสื้อแดง" ที่ยอมตายแทนกันได้
เมื่อ "สมุนแม้ว-ไพร่แดง" เริ่มขยับ "บิ๊กตู่" จึงต้องนิ่งเพื่อจับตาดู ไม่ผลีผลามออกไปเล่นด้วยให้เสียรังวัด
ภาพของ “บิ๊กตู่” ที่จะถูกรีแบรนด์ใหม่ ต้องฉีกตัวเองจากความขัดแย้ง ลดกระแสการเมืองร้อนฉ่าให้เบาบางลด ลดเงื่อนไขที่ขั้วตรงข้ามจะนำไปโจมตี เพื่อให้เห็นภาพ “ผู้นำ” ที่มีมาเป็นผู้นำประเทศจริงๆ ไม่ใช่ “ผู้นำทางการทหาร”
เผื่อจับพลัดจับพลูสานอำนาจของตัวเองในรูปแบบของ “ประธาน คปป.” ที่อาจจะมีอำนาจตัดสินความอยู่รอดของ “รัฐบาลเลือกตั้ง”
ภาพจะไม่เอียงกระเทเร่จนเสียขบวน-เสียแผน