ป้อมพระสุเมรุ
กลายเป็นข่าวอื้อฉาวครึกโครม เมื่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แต่งตั้ง “ธีระศักดิ์ แสนวรางกูร” หรือ “เสี่ยอ้วน” ผู้ต้องหาคดีขโมยข้าวจากโครงการับจำนำข้าวยุค “รัฐบาลปูแดง” ออกไปเวียนเทียนขาย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำ กมธ.การกฎหมายฯ
โดย กมธ. ที่ว่ามี “บิ๊กปุ้ม” พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ สมาชิก สนช. นั่งเป็นประธาน และเป็นผู้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง “เสี่ยอ้วน” ด้วยตัวเอง
ที่สำคัญ “บิ๊กปุ้ม” เป็นน้องชายคลานตามกันมาของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรื่องราวจึงถูกตีแผ่ขยายความใหญ่โต อย่างช่วยไม่ได้
ชื่อของ “เสี่ยอ้วน” รวมทั้ง “เสี่ยเล็ก” กิตติพงศ์ แสนวรางกูร ผู้เป็นน้องชาย เป็นที่รู้จักกันดีในวงการค้าข้าว โดยว่ากันว่า “เสี่ยอ้วน” เป็นเพียง “ข้อต่อ” ทอดหนึ่งที่เก็งกำไรจากการเวียนเทียนข้าวเข้าโครงการ เฉพาะที่ถูกตั้งข้อหาจากทางตำรวจ มีการนำข้าวออกจากโกดัง 98,000 กระสอบ มูลค่าเกือบ 99 ล้านบาท
คำถามจากสังคมพุ่งตรงไปยัง “บิ๊กปุ้ม” กระทบชิ่งไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทันที ถึงความเหมาะสมที่แต่งตั้งคนที่ได้ชื่อว่า “โกงประเทศ” มาดำรงตำแหน่งมีหน้ามีตาในแม่น้ำสายหนึ่งของ คสช.
หนำซ้ำ หลังตกเป็นข่าวอื้อฉาว “ศิษฐวัชร” ดูจะไม่ยี่หระกับเรื่องที่เกิดขึ้น แถมยังมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ หยุมหยิม บอกกับสื่อในเชิงว่า ถ้าวุ่นวายนัก ปลดออกก็สิ้นเรื่อง แม้ว่าท้ายที่สุดจะไม่อาจทนต่อกระแสสังคมที่รับไม่ได้กับเรื่องนี้ จนต้องเฉดหัว “เสี่ยอ้วน” ออกมาจากตำแหน่งทันที
แต่ท่าที และการกระทำที่ความผิดสำเร็จไปแล้วของแม่น้ำสายหนึ่งของ คสช. นั้น ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกหมดหวังกับยุคที่ใช้คำว่า “ปฏิรูป” มานำหน้า คำพูดของ “ทายาทวงษ์สุวรรณ” เหมือนไม่สะทกสะท้านว่า สิ่งที่ทำลงไปเป็นความผิด จนอดคิดไม่ว่า รู้แล้วว่าผิด แต่ก็ยังทำ
แม้ “ศิษฐวัชร” จะไม่ได้เป็นคนเสนอแต่งตั้ง “เสี่ยอ้วน” โดยตรง แต่ก็ควรที่จะมีกลไกในการคัดกรองคนที่จะมีชื่อเข้ามาพัวพันกับ กมธ. ที่ตัวเองเป็นประธานเสียหน่อย ที่สำคัญยังปกปิดชื่อ กมธ. ผู้ที่เสนอแต่งตั้ง “เสี่ยอ้วน” เสียอีก
โดยให้เหตุผลแค่ “ให้เกียรติกัน” ทั้งที่ถือเป็นคนทำผิด และสมควรต้องออกมาชี้แจงต่อสังคม ถึงเหตุผลที่เสนอชื่อคนที่มีคดีโกงภาษีชาติติดตัวเข้ามาเป็นที่ปรึกษา
จริงอยู่ตำแหน่ง “ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์” เป็นเพียงตำแหน่งลอย ๆ ไม่มีค่าตอบแทน และไม่มีอำนาจหน้าที่ใด ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาไปหากินไม่ได้ ยิ่งจากประวัติของ “เสี่ยอ้วน” เป็นพวกรู้ช่องทางหลีก - หลบ - โกง อยู่ด้วยแล้ว ยิ่งนำไปหาผลประโยชน์ได้ไม่น้อย
แค่ใช้ชื่อตำแหน่งไปพิมพ์นามบัตรก็แอ็กอาร์ต อ้างชื่อว่าซี้กับคนใน กมธ. ที่มี “บิ๊กทหาร - ตำรวจ” อยู่พรึ่บพรั่บได้แล้ว เหมือนไปติดดาบให้ “โจร” ที่เมื่อได้ดาบแล้วก็อาจจะเอาไปทิ่มแทงคนอื่นไปทั่ว ตามนิสัย
ที่น่ากังวลกันไม่น้อย คือ ระหว่างที่ “เสี่ยอ้วน” ดำรงตำแหน่งดังกล่าว จะใช้ตำแหน่งไปทำให้คดีขโมยข้าวในโกดังเสียรูปคดีไปหรือไม่ หรือมีการเอาตำแหน่งไปฟอกตัวเองในชั้นกระบวนการยุติธรรมมากน้อยแค่ไหน เพราะ “บิ๊กตำรวจ” ใน กมธ. ก็ล้วนแล้วแต่ระดับ รอง - ผู้ช่วย ผบ.ตร. รวมทั้งมี “ว่าที่ ผบ.ตร.” อยู่ด้วย
เรื่องเหล่านี้ “ดิษฐวัชร” หรือคนใน กมธ. ต้องตอบให้สังคมได้รับรู้ เพราะประเทศไทยมีคนที่มีความรู้ความสามารถสมควรได้รับการยกย่องมากกว่า “ผู้ต้องหา” อีกมากมายก่ายกอง
เรื่องนี้รู้ถึงหู “มือปราบจำนำข้าว” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ อยู่เฉยไม่ได้ เพราะรู้ไส้รู้พุง “เสี่ยอ้วน” อย่างดี และคาดว่าอาจจะมีบางอย่างแฝงอยู่ อีกทั้ง “เสี่ยอ้วน” ถือเป็นหลักฐาน และหนึ่งในตัวจิ๊กซอว์สำคัญในขบวนการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว จึงเรียกร้องให้ สนช. ตรวจสอบว่า ใครอยู่เบื้องหลังผลักดัน “เสี่ยอ้วน” เข้ารับตำแหน่งดังกล่าว
หลังวิพากษ์วิจารณ์ว่า การตั้ง “ผู้ต้องหาคดีขโมยข้าว” ในยุค คสช. ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งยึดถือเรื่องความโปร่งใส ยิ่งทำให้สงสัยกันไปอีกว่าอาจจะมี “มือที่มองไม่เห็น” คอยชักใยอยู่
หนำซ้ำก่อนหน้านี้สองพี่น้องตระกูล “วงษ์สุวรรณ” เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวว่า ร่วมกับสมาชิก “สนช. สายทหาร” และ “สนช. สายตำรวจ” พยายามล็อบบีสมาชิก สนช. เพื่ออุ้ม “ปูแดง” ที่ถูกยื่นถอดถอนจากพิษโครงการรับจำนำข้าว โดยอ้างว่าเพื่อสร้างความปรองดอง
การส่ง “เสี่ยอ้วน” เข้ามาจึงถูกมองว่าเป็นสปาย คอยเอาไว้เคลียร์กับใคร หรือเคลียร์เอกสารสำคัญบางอย่างที่ยังหลงเหลืออยู่ เพื่อไม่ให้สาวถึงตัวการใหญ่ ในการขโมยข้าวในโครงการรับจำนำไปขายหรือไม่
ที่สำคัญบทบาทของ “บิ๊กปุ้ม” ในฐานะน้อง “บิ๊กป้อม” จึงเป็นที่จับตาอย่างยิ่ง เพราะทุกสัญญาณ - ทุกดีล ที่ออกจาก “บิ๊กปุ้ม” อาจจะหมายถึงสัญญาณจาก “บิ๊กป้อม” สัญญาณจาก “บิ๊กตู่” ก็เป็นได้
ด้วยความสำคัญของนามสกุล “วงษ์สุวรรณ” จึงมีขบวนการทำให้ข่าว “เงียบ” เพื่อกลบเกลื่อนความผิดเพราะอย่าลืมว่าคนใน “วงษ์สุวรรณ” ล้วนมีคอนเนกชั่นหลากหลาย
ยิ่งระยะหลังมีกระแสข่าวออกมาตลอดว่า “พี่ใหญ่วงษ์สุวรรณ” ได้รับการติดต่อจาก “นายหญิง” อดีตตระกูลชินวัตร เปิดดีลการเมือง พูดคุยสูตรปรองดองกันมาแล้ว แต่ประตูยังไม่เปิด จึงต้องพับแผนกันไปก่อน เพราะหากแหวกหญ้าให้งูตื่น มีหวัง “วงษ์สุวรรณ” เองที่ต้องตกขอบ หลุดออกจากวงจรอำนาจไป ยิ่งความเคลื่อนไหวของ “พี่ใหญ่วงษ์สุวรรณ” ที่ทำตัวโลว์โปรไฟล์ หลังมีข่าวว่าป่วย
งานนี้จึงไม่รู้ว่า ป่วยจริง หรือป่วยหลอก ป่วยธรรมชาติ หรือป่วยการเมือง เพราะเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ “พี่ใหญ่วงษ์สุวรรณ” ขอเก็บตัวเงียบ ไม่ปรากฏตัวให้สัมภาษณ์สื่อ เหมือนที่ผ่านมา
ยิ่งผนวกกับข่าวการปรับ ครม. ที่จะดันให้ “บิ๊กโด่ง” ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม แทน ยิ่งจุดชนวนสงสัยว่า “พี่ใหญ่วงษ์สุวรรณ” ไปเล่นบทผิดคิว เปิดดีลลึก-ดีลลับ อะไรไว้หรือไม่
ชั่วโมงนี้ให้จับตาทุกความเคลื่อนไหวของตระกูล “วงษ์สุวรรณ” ว่าอยู่ หรือร่วง หากร่วงมาวันไหน ฟันธงได้เลยว่า ดีลลับบางอย่างได้ปิดตายไปแล้ว ส่งผลให้ตระกูล “ชินวัตร” อยู่ยากขึ้นทุกวัน