นายกฯ ยันเวทีโลกยังยอมรับไทย เผยจับมือ “โอบามา” รู้สึกว่าเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไร แค่พูดเป็นมารยาท ชี้ชาติอื่นปัญหาหนักกว่าเราเยอะ แจงเดินหน้าโรดแมปแต่รัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จ ถ้าเสร็จก็เลือกตั้งได้ ลั่นไม่ได้นำเรื่องเสียหายภายในไปพูดให้เขาฟัง ส่วนนักธุรกิจก็โอเค ขอบคุณ กต.เตรียมการดี แย้มไปสหรัฐฯ อีกต้นปีหน้า จ่อหาเสียงนั่งสมาชิกคณะมนตรียูเอ็น หนุน “ยิ่งลักษณ์” ฟ้องตามกฎหมายดีกว่าไปพูดประจานเขา รับ “บัน คีมูน” ถามปมปรับทัศนคติ บอกเรียกมาคุยไม่ได้ทรมาน กับดำเนินคดีพวกทำผิด ขอบคุณเป็นห่วงไม่สบาย
วันนี้ (2 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23-30 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ท่าทีของกลุ่มประเทศยูเอ็นกับไทยนั้นไม่มีอะไร ในเวทีโลกประเทศไทยยังคงได้รับการยอมรับ ในส่วนของตนเขามีมารยาทพอที่ไม่มาบอกว่ารังเกียจหรืออะไรกับตน ตนก็ดีกับทุกคน พบปะทักทายจับไม้จับมือ งานเลี้ยงเขาก็เชิญตนไปร่วม มีการจัด รปภ.ให้ตนตามปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นาทีที่จับมือกับนายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รู้สึกอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้สึกอย่างไร รู้สึกว่าเป็นเพื่อนกัน มิตรประเทศด้วยกันมายาวนานเกือบ 200 ปี ตนไม่มีอะไรกับเขา เมื่อถามว่า นายโอบามาได้พูดอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็โอเค ยินดีที่ได้พบกัน ก็เหมือนทุกครั้งที่จับไม้จับมือ และแสดงความยินดีที่ได้เจอกัน ถามว่าเป็นอย่างไร สบายดีหรือ ที่เจอกันครั้งก่อนพูดว่าทราบว่าประเทศไทยสงบสุขดีขึ้น ขอให้เดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยให้ได้โดยเร็วก็แค่นั้น มันก็เป็นมารยาทการพูดอย่างนี้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า แสดงว่าข้อกังวลก่อนที่นายกฯ จะเดินทางไปร่วมเวทียูเอ็นถึงคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ประชาธิปไตยของไทย ตรงนั้นไม่มีเลยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่กังวลอะไรเลย เพราะเป็นเวทีระดับโลกซึ่งมีหลายประเทศในโลกมาร่วมประชุมกัน ครั้งนี้มา 130 กว่าประเทศ และแต่ละประเทศปัญหาหนักกว่าเราเยอะ ฉะนั้น ปัญหาเราจึงเป็นปัญหาภายในของเราเอง มีอยู่อย่างเดียวคือเรื่องระบอบประชาธิปไตย ตนได้อธิบายไปว่าเรากำลังเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยมีฝ่ายต่างประเทศของเขาสองสามคนที่มีโอกาสได้คุยกัน เดี๋ยวรัฐมนตรีต่างประเทศก็คุยกัน ก็บอกว่าเรากำลังเดินหน้าตามโรดแมปของเรา และโรดแมปก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 มา มันมีอย่างเดียวเองคือรัฐธรรมนูญไม่เสร็จ ทุกประเทศการจะเดินหน้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตย สู่การเลือกตั้งมันต้องมีรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญไม่เสร็จจะไปต่อได้อย่างไร ตนก็บอกไปแบบนี้
“วันนี้ที่จำเป็นต้องเลื่อนจากปี 2559 ไปปี 2560 เพราะรัฐธรรมนูญไม่ผ่านมติ สปช. เมื่อไม่ผ่านก็ต้องร่างใหม่ เวลาก็ต้องเพิ่มมาอีก 6 เดือน ผมก็บอกว่าต้องเป็นไปตามนั้น แต่ถ้ารัฐธรรมนูญเสร็จในครั้งหน้าก็เลือกตั้งได้ ฉะนั้นการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญจะเสร็จหรือไม่เสร็จไม่ได้อยู่ที่ผม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่าจะเป็นการผูกมัดหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อย่าไปคิดว่าผูกมัด มันเป็นเรื่องของแผนงาน ตนทำตามที่พูดไว้ คนเราต้องรักษาคำพูด และคำพูดของตนคือรัฐธรรมนูญเสร็จ ก็เดินไปสู่การเลือกตั้งจำไว้แล้วอย่าถามอีก
เมื่อถามว่า การผ่านเวทียูเอ็นครั้งนี้ทำให้หัวใจพองโตและมั่นใจในการทำหน้าที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่โต หัวใจผมก็เท่าเดิม หัวใจผมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว หัวใจผมใหญ่สำหรับประเทศไทยอยู่แล้ว ไม่ต้องสนใจใคร และการทำงานของผมก็มั่นใจมาตลอด ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 ไม่มั่นใจไม่เข้ามา โดยการไปประชุมยูเอ็นครั้งนี้คิดว่าไปทำหน้าที่เพื่อประเทศไทยและผมก็ทำในสิ่งที่ผมพูด ผมไม่ได้พูดในสิ่งที่ผมไม่ทำ ที่ผ่านมาผมทำอะไรไปบ้าง ผมไม่ได้เอาเรื่องเสียหายของประเทศไทยไปพูดให้คนอื่นเขาฟัง นั่นแหละเป็นสิ่งที่เป็นความแตกต่าง ฉะนั้นเวลาท่านฟังใครเขาพูดเสียหายกับประเทศไทย ท่านทนได้ก็แล้วแต่ท่าน เข้าใจไหม ผมไม่เคยพูดให้ประเทศเสียหายบนเวทีโลก เพราะวันนี้ประเทศต้องเดินหน้า ต้องลงทุนสร้างความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่น ผมพบกับนักธุรกิจไทย สหรัฐฯ เขาก็ดีกับผม ซึ่งผมก็พบมา 3 ครั้งแล้ว เขาก็ยินดีเดินหน้าประเทศไทย และบอกจะไปพูดกับฝ่ายการเมืองของเขาด้วย ว่าโอเคด้านเขาไม่มีปัญหาอะไร”
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรกับคำพูดที่บอกว่านายกฯ ทำหน้าที่ในการประชุมยูเอ็นได้อย่างสมบูรณ์ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นการทำในกรอบที่สามารถทำได้ และต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศที่เตรียมการได้ดี สร้างความเข้าใจอะไรต่างๆ แม้กระทั่งการได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม จี 77 คนกลุ่มนี้ถือว่ามีบทบาทสูงในยูเอ็น โดยปีหน้าต้องเร่งขับเคลื่อนบทบาทนี้ให้ได้ ในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตนได้พูดถึงแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทำมาตลอดกว่า 40 ปีแล้ว แม้กระทั่งคำพูด อย่าให้ปลาเขา ต้องให้เบ็ดตกปลา ก็เป็นคำตรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรับสั่งไว้
เมื่อถามว่า ทางสหรัฐฯ ได้เชิญนายกฯ ไปเยือนประเทศด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนต้องไปอีกประมาณเดือน ก.พ.-มี.ค.ปี 2559 ส่วนการเดินสายหาเสียงเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติแบบไม่ถาวรนั้นจะต้องพบปะแต่ละประเทศในโลกนี้เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หรืออาจจะต่างคนต่างสนับสนุนต่อกัน เป็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันออกไป เขาเรียกหาเสียงต้องแบบนี้ เราก็มีประเทศคาซัคสถานเป็นคู่แข่ง แต่ก็มั่นใจว่าเราจะได้รับเลือก โดยเฉพาะบทบาทของเราในเวทีโลกดีขึ้นมา เพราะกระทรวงการต่างประเทศทำทุกมิติ ประเด็นของตนเวลาเดินทางไปต่างประเทศมีความรู้สึกว่าเขาไม่รู้อะไรหลายเรื่อง สิ่งดีๆ ที่เราทำ หรือสิ่งที่เป็นปัญหาบ้านเมืองเรา เขาไม่รู้ คือเขาอาจจะไม่คิดว่ามันมีอย่างนี้อยู่อีก
เมื่อถามว่า แสดงว่าการที่นายกฯ แบกประเทศไทยไปประชุมยูเอ็นครั้งนี้ทำให้นานาประเทศเข้าใจบรรยากาศในประเทศมากขึ้น นายกฯ กล่าวว่า ก็ขึ้นอยู่กับเขาที่จะเชื่อมั่นเราแค่ไหน แต่ตนก็ใช้ความจริงใจเหมือนกับที่ตนมีกับพี่น้องคนไทย และพูดในสิ่งที่พูดได้ อะไรที่มันเสียหายกับประเทศก็ไม่อยากพูด เพราะเรื่องเหล่านี้มันควรจะเป็นเรื่องภายในของเราเอง การที่เราจะไปประจานประเทศตัวเองมันไม่ค่อยเหมาะ ตนถึงบอกแล้วว่าจะพูดให้น้อยลงเกี่ยวกับเรื่องความเสียหายในสิ่งที่ผ่านมาก็ปล่อยให้เขาพูดไป และตนก็จะอธิบายตาม ถ้าเขาพูดอะไรที่เสียหายตนจะแก้ไข เพื่อให้เขาเข้าใจว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เข้าใจไหม ทุกอย่างมันเป็นกระบวนการยุติธรรมทั้งสิ้น
นายกฯ กล่าวด้วยว่า การที่มีข่าวฟ้องอัยการก็เป็นขั้นตอนตามกฎหมาย ดีใจที่เขามาต่อสู้ด้วยวิธีการยุติธรรม ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยเข้ามา และชอบไปพูดข้างนอก
เมื่อถามว่า เป็นการยื้อเวลาคดีหรือเปล่า นายกฯ กล่าวว่า “จะยื้อจะแย้เรื่องของเขา แต่ผมถือว่าเป็นกระบวนการที่ถูกต้อง ถ้าเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็มาฟ้องร้องมาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม นั่นคือวิธีการที่ถูกต้องดีกว่าไปประจานประเทศตัวเองข้างนอก หวังให้คนอื่นมาแก้ปัญหาในบ้านของเราเอง ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่พวกท่านทำไว้ทั้งสิ้น”
เมื่อถามว่า วันนี้คนไทยเริ่มอยากออกมาให้กำลังใจจะสามารถทำได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวกำลังดูอยู่ และการพบกับเลขาฯ ยูเอ็น ท่านก็อยากให้มีการแสดงความคิดเห็น ตนก็บอกว่าให้มาโดยตลอด เพียงแต่การแสดงความคิดเห็นมีสองอย่าง อย่างแรกเป็นความคิดเห็นบริสุทธิ์ใจอยากให้ข้อเสนอแนะ วิพากษ์วิจารณ์ในทางที่สร้างสรรค์ ตนก็ให้พูดหมด แม้กระทั่งนักการเมือง ซึ่งเลขาฯ ยูเอ็นยังได้ถามถึงการเรียกบุคคลเข้ารายงานตัวต่อ คสช. ตนก็บอกไปว่าเป็นการเรียกไปคุยเฉยๆ ไม่ได้ไปทรมานทำร้ายอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นจะเรียกไป 6-7 ครั้งหรือ ขนาดเรียกไป 6-7 ครั้งก็ยังพูดอยู่อีก นั่นแหละตนได้ให้โอกาสพูดแล้ว ถ้าเป็นประเทศอื่นในโลกเขาไม่ให้ขนาดนี้ โดยเฉพาะในสถานการณ์อย่างนี้ วันนี้ตนถือว่าทุกคนพูดได้ แต่พูดในทางสร้างสรรค์ ถ้าพูดไม่สร้างสรรค์ก็ต้องเรียกมาคุยกัน ซึ่งเลขาฯ ยูเอ็น เขาก็เป็นห่วงว่าเราเอามาซ้อมและทรมานอย่างที่มีคนไปพูดกัน แบบนั้นมันมีที่ไหน คนที่เรียกมาเป็นการตักเตือนพูดคุยทำความเข้าใจ แล้วก็ให้กลับไป อีกพวกที่ต้องดำเนินการคือทำผิดกฎหมายที่ประกาศไว้แล้วล่วงหน้าทั้งสิ้นไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาลงโทษ มันไม่ใช่ กฎหมายเขียนว่าอย่าทำแต่กลับทำ ถ้าไม่ดำเนินคดีทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็ถูกข้อหาละเว้น ก็จะกลายเป็นเหมือนเดิม กฎหมายใช้ไม่ได้ วันนี้เราเข้ามาเพื่อบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวถามว่า อาการป่วยไข้หวัดที่มีข่าวว่าต้องไปน้ำเกลือขณะร่วมประชุมยูเอ็น หายหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องหาย ป่วยนานไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อถามย้ำถึงการให้น้ำเกลือที่สหรัฐฯ นายกฯ ย้อนถามว่า ทำไมล่ะ ขณะที่ผู้สื่อข่าวตอบกลับว่าเป็นห่วง นายกฯ ได้กล่าวว่า “เหรอ ยังไม่ตายหรอก ขอบคุณ แข็งแรงอยู่แล้ว และต้องขอบคุณคนไทยทั้งประเทศ รู้ว่าทุกคนคาดหวังในการไปเวทีต่างประเทศและเป็นกำลังใจ ส่วนคนที่ไม่ให้กำลังใจผมไม่ว่าอะไรหรอก เพราะเขาอาจจะยังไม่เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ หากเขามุ่งเอาแพ้เอาชนะกันอยู่แบบนี้ มันก็ไปไม่ได้”