xs
xsm
sm
md
lg

“หัสวุฒิ” ไม่รับมติ ก.ศป.ลงโทษพ้นราชการ ตัดพ้อทำงานเพื่อแผ่นดินแต่ไม่ได้ความเป็นธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ประธานศาลปกครองสูงสุด แถลงไม่รับมติ ก.ศป.ลงโทษให้ออกราชการ เหตุ จม.น้อยหนุน ตร. โวยเชื่อ กก.เสียงข้างน้อยไร้หลักฐาน มโนมุ่งเอาผิด ไม่มีอำนาจใช้ดุลพินิจตัดสินเอง ต้องยึดเสียงข้างมากตามจารีต หมดความเชื่อถือในองค์กร รับมืดแปดด้าน ปูดฟ้องศาลก็ถูกเบรก ตัดพ้อชาติหน้าไม่ขอเกิด ทำงานแทนคุณแผ่นดินแต่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แฉเร่งทำหนังสือให้ตนพ้นเก้าอี้ ปัดทำหนังสือถึงนายกฯ แต่ขอสื่อประโคมข่าว ยังไม่ได้คิดยื่นฎีกาถวาย “ในหลวง”


วันนี้ (25 ก.ย.) นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยะกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด แถลงไม่ยอมรับมติคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง หรือ ก.ศป. ที่ลงโทษทางวินัยให้ออกจากราชการ กรณีจดหมายน้อยสนับสนุนตำรวจของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง เพราะไม่ได้กระทำความผิด อีกทั้งจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยก็มีมติว่าตนไม่ผิด แต่ ก.ศป.กลับเชื่อกรรมการเสียงข้างน้อยที่อ้างว่าตนมีส่วนรับรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยไม่มีพยานหลักฐานอ้างอิง เพราะมีการระบุในเอกสารชัดเจนว่าแม้ไม่มีพยานหลักฐานว่ามีการมอบหมายให้นายดิเรกฤทธิ์ดำเนินการ แต่ลงโทษนายดิเรกฤทธิ์สถานเบา จึงเชื่อว่าตนมีส่วนรับรู้ในเรื่องนี้ ทั้งที่ตนไม่ได้เป็นผู้ลงโทษ อีกทั้งในการบันทึกปากคำไม่มีการพาดพิงหรือปรักปรำตน ขอยืนยันว่าไม่ทราบเรื่องดังกล่าวและหลังจากทราบเรื่องจากสื่อมวลชนก็มีการดำเนินการตามขั้นตอนทางราชการในการสอบข้อเท็จจริง

“มติดังกล่าวของ ก.ศป.เป็นการรับฟังบันทึกการแจ้งสรุปของกรรมการเสียงข้างน้อยที่มีการบิดเบือน นำความเท็จมาใส่ร้ายผมอย่างอคติ เจตนาจะให้มีการความเข้าใจผิด เช่น ข้อความที่อ้างว่าก่อนทำจดหมายดังกล่าว นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ได้นำเรียนนายหัสวุฒิทราบด้วย ผมได้ตรวจสอบคำให้การของนายดิเรกฤทธิ์เองก็ไม่มี หนังสือต่างๆ ก็ไม่มี มติ ก.ศป.จึงเป็นการมโนเอาเองคือ “กูจะเอามึงผิด” จึงขอเรียกร้องให้ ก.ศป.ออกมาแถลงเหตุผลที่ชัดเจนและหลักฐานข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนปราศจากข้อสงสัยใดๆ ในการลงโทษผม หากไม่ดำเนินการจะกระทบต่อความแน่นอนของรัฐที่ใช้กฎหมายเป็นหลักพื้นฐานของการปกครองบ้านเมืองอย่างรุนแรง เพราะแม้แต่ผมซึ่งเป็นประธานศาลปกครองสูงสุดยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนทั่วไปก็ยากที่จะหวังกับองค์กรนี้ได้”

นายหัสวุฒิยังกล่าวอีกว่า การที่ ก.ศป.อ้างว่าไม่จำเป็นต้องมีมติโดยยึดตามเสียงข้างมากของคณะกรรมการสอบสวนวินัย เพราะระเบียบ ก.ศป.ว่าด้วยวิธีการสอบสวนและสิทธิของตุลาการศาลปกครองซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง พ.ศ. 2544 ข้อ 21 กำหนดขั้นตอน วิธีการในการสอบสวนเท่านั้น ไมได้กำหนดกรณีกรรมการสอบสวนมีความเห็นขัดแย้งกันให้ถือความเห็นของกรรมการเสียงข้างมาก หรือเสียงข้างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นข้อยุติ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของ ก.ศป.ที่จะพิจารณาความเห็นของกรรมการสอบสวนทั้งสองฝ่ายนั้น เห็นว่าแม้ระเบียบ ก.ศป.จะไม่ได้กำหนดกรณีกรรมการสอบสวนมีความเห็นขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ ก.ศป.มีอำนาจที่ใช้ดุลพินิจของตนเองเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้ เพราะขัดต่อหลักการใช้กฎหมายและในขอบเขตของกฎหมายมหาชน ก.ศป.เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะทำการใดโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไม่ได้ ถ้ากฎหมายไม่มีบัญญัติไว้ ก.ศป.ต้องพิจารณาวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวโดยยึดจารีตประเพณี ซึ่งตามจารีตประเพณีศาลปกครองก็วินิจฉัยเรื่องต่างๆ ก็ถือเสียงข้างมากเป็นข้อยุติทั้งสิ้น และไม่เคยมีที่ไหน หรืออารยประเทศใดที่พิจารณาวินิจฉัยเรื่องทางปกครองโดยเอาเสียงข้างน้อยเป็นข้อยุติ

นอกจากนี้ ในการสอบสวนของ ก.ศป. ยังมีการประวิงเวลาหรือถ่วงเวลา ไม่สอบสวนตามข้อกล่าวหา เดิมกล่าวหาว่าประธานศาลปกครองสูงสุดใช้ให้เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองฝากเลื่อนยศตำรวจ ครั้งกรรมการสอบสวนเสียงข้างมากเห็นว่าไม่มีมูล ก็เปลี่ยนข้อกล่าวหาเป็นประธานศาลปกครองสูงสุดรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ซึ่งเป็นการคิดและอนุมานเอาเองไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงยืนยันแม้แต่ในข้อกล่าวหาที่เปลี่ยนมา จึงเห็นเจตนาร้ายในการพิจารณาซึ่งทำโดยอำเภอใจเลือกปฏิบัติในการมีมติ และเป็นมติที่อัปยศอดสูที่ต้องการจะกลั่นแกล้ง

“ถ้าดูในคำสั่งปลดผมจะเห็นว่ามีการอ้างด้วยว่าผมว่าลงโทษนายดิเรกฤทธิ์น้อยเกินไป และไม่นำมาประกอบการพิจารณาประเมินผลงานประจำปี ไม่ดำเนินการทางวินัยทั้งที่ถือเป็นความประพฤติชั่วตามวินัยแห่งตุลาการ โดยมีการระบุว่า “แม้ไม่ปรากฏว่ามีการมอบหมาย” ซึ่งเป็นจุดที่ยืนยันว่าไม่มีหลักฐานโยงว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็จะเอาผิดผมให้ได้ ซึ่งในข้อเท็จจริงอยากจะถามว่า เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายดิเรกฤิทธิ์ และคณะกรรมการก็มีมติลงโทษนายดิเรกฤิทธิ์ไปแล้ว ซึ่งผมไม่ได้เป็นคนไปตั้งหรือไปเกี่ยวข้องเลย ถามว่าแล้วเราจะนำความผิดเดิมที่มีการลงโทษเขาไปแล้วมาลงโทษซ้ำด้วยการนำมาประกอบการพิจารณาผลงานประจำปีได้อย่างไร”

ทั้งนี้ นายหัสวุฒิยังกล่าวถึง พ.ต.ท.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงกุล รอง ผกก.ป.สน.หัวหมากในขณะนั้น ที่ถูกระบุเป็นนายตำรวจที่ตนเองช่วยสนับสนุนว่า ไม่ได้เป็นผู้จัดหารือติดต่อนายตำรวจคนดังกล่าวเพื่อมาดูแลความปลอดภัยของตนเอง แต่เป็นงานของสำนักงานศาลปกครองที่เลขาธิการศาลปกครองดูแล โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งตน และตนก็ไม่รู้จักหรือเป็นญาติทางสายโลหิตและไม่ได้เป็นเพื่อนของหลาน เพียงแต่รู้จักกับญาติของเขาเท่านั้น

“อยากถามสังคมด้วยว่าจะให้ผมทำอย่างไรต่อไป จะให้โต้แย้งคำสั่งโดยฟ้องศาลปกครองหรือ แต่สำหรับผม ผมหมดความเชื่อถือในองค์กรนี้ว่าจะได้รับความยุติธรรมความถูกต้องอีกแล้ว ถ้าฟ้องไป ถึงชนะศาลชั้นต้น แต่พอขึ้นศาลสูงก็ถามว่าคนจ่ายสำนวนจะจ่ายให้คณะไหน และหากผลออกมาว่าผมผิดอีก มันไม่ยิ่งตอกย้ำการพิจาณณาของ ก.ศป.ว่าถูกต้อง ทั้งที่ผมไม่มีโอกาสแสดงหลักฐานเลย ผมไม่มีประสบการณ์การถูกเอาผิดแบบนี้ตลอดชีวิตการรับราชการ ผมพูดแสดงหลักฐานอย่างนี้แล้ว ถ้าผมกลับไปฟ้องศาลปกครองอีกก็คงไม่ปกติแล้ว จึงมืดแปดด้านไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป”

นายหัสวุฒิกล่าวว่า ตนฟ้องศาลยุติธรรมแล้ว 6 คดี ศาลกำหนดวันไต่สวนมูลฟ้องแล้ว จู่ๆ ก็แจ้งยกเลิกการไต่สวนมูลฟ้องและพิพากษาว่าไม่มีมูลยกฟ้อง 5 คดี โดยไม่มีการเปิดเผยคำพิพากษา โดยทนายความไปขอคำพิพากษากลับบอกว่ายังไม่เสร็จ เมื่อทนายทำเรื่องอุทธรณ์ก็ไม่รับโดยอ้างว่าเกินกำหนดเวลา ส่วนคดีที่เหลือมีการนัดไต่สวนมูลฟ้องเดือนกันยายน ก่อนจะเลื่อนเป็นเดือนกรกฎาคม นัดไกล่เกลี่ย 13 ก.ค. ทั้งที่ตนฟ้องคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าให้ไกล่เกลี่ยแสดงว่าตนถอนฟ้อง ทำให้กลับเข้าสู่กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องซึ่งพยานต้องเรียกหมายศาลมาให้ปากคำ จนถึงขณะนี้ผลยังไม่ทราบว่าจะรับฟ้องหรือไม่

นายหัสวุฒิกล่าวว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องของตนคนเดียวตนทิ้งแล้ว เพราะไม่ยึดติดกับชื่อเสียงเกียรติยศที่เสียหายไปแล้ว ถ้าเลือกได้ในชาติหน้าขอไม่เกิดดีกว่า เพราะเบื่อสังคมมนุษย์มาก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องการปกครองโดยใช้กฎหมายที่ถูกทำลาย หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ได้รับทราบจากสื่อมวลชนก็ต้องดูว่าท่านจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ แต่ตนคงไม่ทำหนังสือร้องเรียนเป็นการส่วนตัวไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรง อย่างไรก็ตาม ถ้าสื่อมวลชนช่วยประโคมข่าวเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องของบ้านเมือง ผลจะเป็นอย่างไร ถ้ายอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านเมือง เพราะศาลคือองค์กรสุดท้ายที่ให้ความยุติธรรม แต่วันนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าว ทั้งนี้ตนพร้อมที่จะไปสนทนาในรายการทีวีทุกรายการเพื่อชี้แจงเรื่องนี้

“ศาลปกครองเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ถ้าคนในสังคมทราบข้อเท็จจริงแล้วยังยอมรับให้เป็นอย่างนี้ ที่ผ่านมาผมทำงานเพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน มีแต่หนี้สิน เพิ่งซื้อบ้านตอนอายุ 65 ปี กู้ธนาคารร่วมกับลูกสาว 10 ล้านบาท ผ่อน 30 ปี นี่เพิ่งผ่อนมาได้ปีเศษ หวังให้ภรรยาอยู่ แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นเงินที่ได้จากสินบนทั้งที่กู้จากธนาคารกรุงไทย สังคมไม่เป็นธรรมกับผมเท่าไหร่ ผมปฏิบัติหน้าที่ในนามพระปรมาภิไธยของในหลวง ไม่อาจทำให้พระองค์ผิดหวังได้ และทราบมาว่าทางสำนักงานศาลปกครองกำลังทำเรื่องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายให้โปรดเกล้าฯ ให้ผมพ้นจากตำแหน่งแล้ว แม้ว่าตามกฎหมายให้สิทธิอุทธรณ์ได้ 60 วัน แต่ก็อาจจะไม่รอให้พ้นเวลาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ได้คิดเรื่องยื่นฎีกาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นายหัสวุฒิกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือขณะที่พูดถึงการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านให้ภรรยา























กำลังโหลดความคิดเห็น