ผ่าประเด็นร้อน
สังเกตให้ดีในช่วงเวลานี้ได้เห็นอารมณ์บูด เครียด ๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะเกิดขึ้นต่อเนื่องแบบไม่ค่อยมีการเว้นวรรคกันเลย อาการ “เหวี่ยง” แบบนี้มุ่งไปที่นักการเมืองอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่ปรากฏกลับมองเห็นชัดเจน ก็คือ การเมืองในกลุ่มการเมืองพรรคเพื่อไทยในเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเสียงวิจารณ์ออกมาจากฟากของพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากแรงกระแทกก็ถือว่าเบาหวิว และเมื่อได้รับสัญญาณเข้มก็เริ่มหยุดนิ่งกลับสู่ที่ตั้ง
ตรงกันข้ามกับฝั่งพรรคเพื่อไทย ที่ในวงการรับรู้ว่าย่อมได้รับผลกระทบมากกว่า จนเรียกว่า อาจถึงขั้น “วายป่วง” กันเลยทีเดียวหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังอยู่ เพราะยิ่งอยู่นานก็ยิ่งลำบาก สาเหตุก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายแถวล้วนแล้วแต่มี “ชนัก” ปักหลังด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้น หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศชัดว่า ทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ตามกระบวนการยุติธรรม และให้นิยามการปรองดองว่าไม่ใช่เรื่องของการละเว้นกฎหมาย ใครที่ทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีทุกราย จากนั้นก็ตามมาด้วยการใช้คำสั่ง “พิเศษ” มาตรา 44 ดำเนินการถอดยศจนกลายเป็นนายทักษิณ ชินวัตร หลังจากที่ยืดเยื้อเตะถ่วงมานานนับสิบปี และแม้ว่าจะมีเสียงโวยวายตามมาจากเจ้าตัวและบรรดาลูกน้อง แต่หากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า “ต้องทำ” และน่าจะทำมาตั้งนานเสียอีก เพราะนี่คือการดำเนินการทางกฎหมาย ตามระเบียบถูกต้องทุกอย่าง ขณะเดียวกัน การใช้มาตรา 44 ดังกล่าวก็ถือว่าเหมาะสม เพราะหากทำตามขั้นตอนปกติต้อง “ทูลเกล้าฯ” ซึ่งมองบางมุมอาจเป็นเรื่องไม่สมควร
นอกเหนือจากนี้ในทางกฎหมายก็ยังมีการเดินหน้าดำเนินคดีในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเข้าสู่เส้นทางในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีอาญา และล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. เพิ่งประกาศว่าจะมีการดำเนินคดีทั้งทางอาญาและแพ่งในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวภายในปีนี้ ก็เชื่อว่าจะต้องโดนกันทั้งกระบิตามมา
นี่ยังไม่นับพวก “ลูกน้อง” ทั้งในระดับมีชื่อและปลายแถวที่กำลังถูกจัดระเบียบกันอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็น จาตุรนต์ ฉายแสง ที่เพิ่งถูกริบหนังสือเดินทาง วัฒนา เมืองสุข ที่ห้ามออกนอกประเทศ พิชัย นริพทะพันธุ์ และ การุณ โหสกุล ที่ถูกเชิญไปปรับทัศนคติในค่ายทหารอย่างน้อยเที่ยวนี้ก็เจ็ดวัน ส่วนคนอื่น ๆ ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก็ล้วนถูกจับตากันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะมีการส่งสัญญาณเข้มไปถึง ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทยด้วย
มองเผิน ๆ อาจมองว่านี่คือบรรยากาศน่ากลัว ในบรรยากาศท็อปบูต แต่ในความเป็นจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนพวกนี้ทำผิดกฎหมาย เหิมเกริมส่อไปในทางทุจริต หรือทุจริตมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาพวกเขาเป็นฝ่ายควบคุมอำนาจรัฐ ทำได้ทุกอย่างเพื่อตอบสนอง “นายใหญ่” และครอบครัวของนายใหญ่ ดังนั้น เมื่อมีการใช้ “ในนามของกฎหมาย” เข้าจัดการก็ย่อมได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน อย่างน้อยก็เป็นกลุ่มที่ยึดมั่นในความถูกต้องเท่าเทียมกันทางกฎหมาย พิสูจน์ได้จากผลสำรวจทุกแห่งที่ออกมาตรงกันว่าความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำโด่ง เหนือนักการเมือง เหนืออดีตนายกฯแบบไม่เห็นฝุ่น
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ข้างหน้าย่อมมองออกแล้วว่า “เริ่มตึงเครียด” อย่างน้อยก็ป้องกันการก่อหวอดขึ้นมาหลังจากร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำในสภาปฏิรูปแห่งชาติ และต้องยกร่างใหม่และตามโรดแมปใหม่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช. ลากยาวได้อีกอย่างน้อย 20 เดือน หรือเกือบสองปี และยังเชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะยกร่างขึ้นมาจะต้องคงคุมเข้มบรรดานักการเมืองที่เคยมีประวัติด่างพร้อยเรื่องทุจริตห้ามลงสนามตลอดชีวิต ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็ย่อมตัดทางทำมาหากินบางครอบครัวกันแบบถาวร ดังนั้นมันถึงต้องป่วน
อย่างไรก็ดี เมื่อมองออกมาว่าสถานการณ์เริ่มซีเรียส รัฐบาล และ คสช. จึงต้องคุมเข้ม เข้าถึงตัวแบบไม่ให้ขยับ ซึ่งคราวนี้หากสังเกตคนที่ถูกเชิญตัวไป “กินข้าว” ในค่ายทหาร ไม่ใช่แบบไปเช้าเย็นกลับแบบเดิม แต่ใช้เวลาอย่างน้อย 7 วัน โดยไม่บอกสถานที่ว่าอยู่ที่ไหน อีกทั้งน่าจับตาว่าจะมีรายการอายัดการทำธุรกรรมการเงินตามมาด้วยหรือไม่มันก็ทำให้เสียวเหมือนกัน
แต่ก็อย่างว่าถ้าไม่ป่วน ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น และที่สำคัญความเสื่อมถ้าจะเกิดคงไม่ใช่เกิดจากภายนอก แต่ย่อมเกิดจากภายในต่างหาก
นี่คือความจริง นี่คือสัจธรรม !!