“ประวิตร” เป็นประธานพิธีประจำการแอร์บัส เอซีเจ 320 แจงตามแผนภารกิจรับส่งบุคคลสำคัญ-อพยพคน ย้ำต้องใช้เครื่องมือตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มให้เกิดความมั่นใจ เร่งพิจารณาจัดซื้อ ไม่เพิ่มบุคลากร ยันปัญหา สตม.จบแล้ว ลั่นยังไม่ใช่เวลาพูดโจมตี ไม่ฟังเชิญปรับทัศนคติ รับรองอย่างดีไม่ทารุณ เมินเปิดเผยที่คุมตัว ปัด คสช.ดุขึ้น เผยคุยกลุ่มมาราปัตตานี คกก.คุยสันติสุขเป็นผู้ดำเนินการ ขอให้เข้าใจรัฐบางอย่างพูดได้-ไม่ได้
วันนี้ (11 ก.ย.) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีบรรจุเข้าประจำการเครื่องบินรับ-ส่งบุคคลสำคัญ แบบแอร์บัส เอซีเจ 320 จำนวน 1 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้น อะไหล่ และการฝึกอบรมจากบริษัท แอร์บัส เอสเอเอส ประเทศฝรั่งเศส ไว้ที่ฝูงบิน 602 รักษาพระองค์ กองบิน 6 โดยใช้งบประมาณผูกพัน 3 ปี ตั้งแต่ 2556-2558 รวมเป็นเงิน 3,241,905,500 บาท เพื่อใช้งานในภารกิจการรับ-ส่งบุคคลสำคัญและการลำเลียงทางอากาศสำหรับการปฏิบัติการทางทหารที่ไม่ใช่การรบทั้งในประเทศ และนอกประเทศ เป็นภารกิจสำคัญของชาติ ได้แก่ การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ การอพยพคนไทยในต่างแดน และการปฏิบัติการเพื่อรักษาสันติภาพให้มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า กองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินดังกล่าวเพื่อบรรจุเข้าประจำการตามแผนโครงการกำลังรบของกองทัพอากาศในภารกิจรับ-ส่งบุคคลสำคัญและรองรับภารกิจต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้จากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ประเทศของเราต้องประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก เราจำเป็นต้องมีการเตรียมกำลังความพร้อม แต่ไม่ว่าโลกหรือสังคมจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร พวกเราทุกคนยังคงตระหนักถึงบทบาทหน้าที่และความสำคัญของกองทัพอย่างเสมอ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ ตนเชื่อมั่นว่าด้วยความรู้ ความสามารถ ความมีระเบียบวินัยที่เข้มแข็ง ความเสียสละทุ่มเท และความตั้งใจจริงของทุกคน จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนากองทัพให้เจริญก้าวหน้าสามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บรรลุผลสำเร็จตามความมุ่งหมายทุกประการ อย่างไรก็ตาม ตนขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมมือกันทำให้โครงการครั้งสำเร็จลุล่วงได้สมความมุ่งหมายของทางราชการ
พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงปัญหาการทำหน้าที่ของเจ้าหนาที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ว่า ขณะนี้เราต้องใช้เครื่องมือในการตรวจคนให้มากขึ้น ทั้งการพิสูจน์ใบหน้า และการตรวจลายนิ้วมือ เพื่อให้เกิดความมั่นใจและสร้างความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น ขณะนี้ทางสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จะต้องร่วมกันพิจารณาใช้เครื่องมือและซื้อเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนอย่างเร่งด่วน ส่วนปัญหาบุคลากรนั้นตนคิดว่าไม่ต้องเพิ่ม เพราะบุคลากรเราดีอยู่แล้วถ้าเครื่องมือเราดี ทั้งนี้ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็สนใจที่จะดำเนินการเรื่องนี้ในการจัดซื้อจัดหาเครื่องมือ เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าการเข้าเมืองต้องเข้ามาอย่างถูกต้อง และไม่เข้าแบบกลับไปกลับมา
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ดำเนินการเสนอเรื่องย้ายข้าราชการใน สตม.นั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ต้องย้าย เมื่อถึงเวลาก็ย้ายหมด ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ก็ต้องย้ายหมด ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะต้องทำ ปัญหา สตม.ถือว่าจบแล้ว เพราะตนได้เข้าไปดูแล้ว ทุกเรื่องเราต้องแก้ไขปัญหา เมื่อทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถ้าถูกก็ว่าไปตามถูก ส่วนการตั้งคณะกรรมการบูรณาการด้านข้อมูลข่าวสารนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้มีการตั้งแต่อย่างใด ขอให้ได้ตั้งก่อน เพราะสื่อถามทุกวัน
พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงกรณีที่ คสช.เชิญนายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และแกนนำพรรคเพื่อไทย เข้าค่ายทหารเพื่อปรับทัศนคติว่า ต้องเรียกบุคคลที่ยังพูดแสดงความคิดเห็นต่างๆ ทั้งหมด เพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังทำงานอยู่ ซึ่งขอให้หยุดพูดในช่วงนี้ก่อนเพราะเป็นระยะช่วงเปลี่ยนผ่าน สิ่งใดที่เป็นการพูดให้ร้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. รวมถึงรัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) และ คสช.นั้นยังไม่ใช่เวลา เพราะเราไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นก็ต้องเข้าใจ เราต้องการให้ทุกอย่างดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และโรดแมปของ คสช. ดังนั้นทุกอย่างต้องหยุดก่อน อย่าเพิ่งมาให้ร้าย เจตนาเราต้องการทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องคอร์รัปชัน เราพยายามไม่ให้มีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งนายกฯ พูดทุกครั้งในการประชุม ครม. เรื่องการคอร์รัปชัน และการดำเนินการต่างๆ ที่ไม่ถูกกฎหมาย ดังนั้นผิดต้องว่ากันไป ต้องเรียกมาชี้แจงเพื่อปรับความเข้าใจ ถ้าเข้าใจเร็วก็กลับเร็วหากเข้าใจช้าก็กลับช้า เพราะต้องอธิบายกันให้เข้าใจ
เมื่อถามว่ามีแนวโน้มที่จะเชิญใครอีกบ้าง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ใครพูดผิดพูดให้ร้ายในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงก็เชิญมาหมด เนื่องจากตอนนี้จะมาพูดเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะไม่ใช่เวลานี้ เวลานี้คือเวลาทำงานของรัฐบาลและ คสช. ขอให้เข้าใจตามนี้ เมื่อถามต่อว่าจะมีการเปิดเผยชีวิตของนักการเมืองที่อยู่ในค่ายทหารหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนรับรองว่าเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างดี และไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ปรับสมองอย่างเดียวด้วยการพูดคุยกัน ส่วนที่มีฝ่ายการเมืองเรียกร้องให้เปิดเผยที่อยู่ในค่ายทหารนั้นตนคิดว่าไม่จำเป็น เพราะเหมือนกับอยู่บ้าน เพียงแต่เชิญมาพูดคุย ไม่ได้นำตัวไปทารุณ
“ไม่ต้องกังวล ผมยืนยันรับรอง ที่ผ่านมาก็ทำมาเยอะแยะ แล้วมากังวลอะไรตอนนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมาก็ดำเนินการมาแล้ว ผมขอเวลานี้เป็นเวลาของ คสช. ผมไม่ได้ว่าคนเห็นต่าง แต่อย่าเอามาเปรียบเทียบกันนั้นไม่ได้ เพราะเป็นการให้ร้าย ต้องเข้าใจ” พล.อ.ประวิตรกล่าว
เมื่อถามว่า ตอนนี้ดูเหมือนว่า คสช.ดุขึ้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ได้ดุ คสช.ทำเหมือนเดิม แต่ว่ารัฐบาลก็ให้ฟังความจริงทุกอย่าง ขอให้ไปดูประเทศอื่นว่าเขาทำแบบเราหรือไม่ เราพยายามทำให้ดีแบบเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด แต่ขอเวลาทำงานก่อนตอนนี้
พล.อ.ประวิตรกล่าวต่อถึงความคืบหน้าการพูดคุยสันติสุข ร่วมกับตัวแทนผู้เห็นต่างจากรัฐที่ใช้ชื่อว่ากลุ่มมาราปาตานีว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการพูดคุยสันติสุขเป็นผู้ดำเนินการ โดยทาง พล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ในฐานะหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขเป็นผู้ดำเนินดาร ซึ่งทั้งหมดมีขั้นตอนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่าบางอย่างสามารถเปิดเผยได้ และบางอย่างไม่สามารถเปิดเผยได้ ขอให้เข้าใจการทำงานของรัฐบาล เพราะเราทำงานให้กับประชาชนและประเทศชาติแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง