นายกรัฐมนตรีแจงเชิญตัว “พิชัย-การุณ” ไปปรับทัศนคติ เป็นไปตามคำสั่ง คสช. ส่วนคนอื่นแล้วแต่จะพิจารณา พร้อมยอมรับกระทรวงไอซีทีกำลังจัดการเว็บไซต์โจมตี ขอร้องนักการเมืองและพรรคการเมืองหยุดโจมตีรัฐบาล พร้อมเรียกร้องสื่อเสนอข่าวสองด้าน เผยต่างประเทศไม่มีใครรังเกียจตน แต่สื่อกลับเปิดพื้นที่คนที่หนีคดี หมิ่นสถาบันเบื้องสูง
วันนี้ (10 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลักเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 3 /2558 ถึงกรณีการเชิญตัวนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน เพื่อปรับทัศนคติว่า “เป็นเรื่องที่ทาง คสช.เขาเรียกตัวไปมั้ง” เมื่อถามว่า รวมถึงนายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ด้วยมั้ง”
ถามว่าการเรียกตัวไปครั้งนี้สาเหตุและความผิดมาจากอะไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “เป็นไปตามคำสั่ง คสช. เป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็น แล้วพวกสื่อเห็นว่าความคิดเห็นที่พูดออกมานั้นมันดีหรือไม่เล่า มันสร้างอะไรให้กับสังคม มันพร้อมจะเกิดความปั่นป่วนอีกหรือเปล่า ผมเองก็ไม่ค่อยจะอยากใช้อยู่แล้วล่ะ แต่ได้มอบอำนาจไปแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่เขาพิจารณากันเอง ถ้าการพูดจาไปในลักษณะที่ท้าทายอำนาจรัฐมันทำได้ไหม ผมปล่อยมาเยอะแล้ว”
เมื่อถามว่า การเชิญตัวครั้งนี้นำไปคุมขังหรือปรับทัศนคติ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวแบบประชดว่า “เอาไปกินข้าวมั้ง เอาตัวไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงปลา” เมื่อถามว่า เอาไปปรับทัศนคติ 7 วันเลยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่รู้ เขากำลังพิจารณาอยู่มั้ง มีอำนาจกี่วันเล่า จะ 7 วันหรือเปล่า ผมไม่รู้ ขึ้นอยู่กับผลที่เขาสอบกันมาว่า ถ้ารับมันก็เร็ว ถ้าไม่รับต่อมันก็มีคดีต่อไป”
เมื่อถามว่า นอกจากกรณีของนายพิชัยแล้วยังจะมีคนอื่นที่เข้าข่ายถูกเรียกตัวอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้บอกแล้วว่าตนจะเป็นผู้พิจารณาเอง มากน้อยหนักเบาก็เป็นเรื่องของตน เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าจะมีอีกใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ไม่รู้ ก็ต้องมาดูว่าสิ่งไหนที่สร้างความเดือดร้อน สร้างความไม่สงบ สื่ออยากให้บ้านเมืองสงบหรือไม่ แล้วคนที่พูดจาไม่ดี พูดจาแล้วทำให้เกิดความเสียหาย มันควรจะพูดหรือไม่ หรือถ้าไม่อยากให้เกิดความสงบ เดี๋ยวก็เอาออกมาให้หมด ใครอยากพูดอะไรก็พูด แล้วอย่ามาโทษผม อย่ามาโยนความรับผิดชอบให้ผมคนเดียว”
เมื่อถามว่า ตอนนี้เริ่มมีขบวนการต่างๆ รวมทั้งเว็บไซต์ออกมาโจมตีนายกรัฐมนตรี จะมีการดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและกระทรวงไอซีทีกำลังดำเนินการอยู่ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะเว็บไซต์เหล่านี้มาจากต่างประเทศ ทำได้เพียงเว็บไซต์ที่มีต้นทางที่นี่ ซึ่งกำลังทำอยู่เพราะถ้าเว็บไซต์เหล่านี้มาจากต่างประเทศ เราจะไปสั่งปิดได้อย่างไร อย่างเช่นยูทิวบ์ อย่างในเรื่องกฎหมายมาตรา 112 เขาก็ไม่มี เขาก็ไม่มีกฎหมายแบบนี้ เราก็ต้องเคารพแล้วทำไมไม่ไปโทษคนทำว่ามันมาจากไหนและเป็นใคร เมื่อถามว่า นอกจากมาตรการการยึดหนังสือเดินทางแล้วจะมีมาตรการอื่นอะไรออกมาอีกบ้าง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เอาพลาสเตอร์ปิดปาก เรื่องนี้คณะทำงานเขากำลังทำกันอยู่ สื่อไม่ต้องมาถามทุกเรื่อง ทุกวัน แล้วก็ไม่ต้องมาให้นายกฯ มาสั่งทุกเรื่องตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
“นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ออกมาพูดวันนี้ ก็ขอร้องเถอะครับ ถ้าท่านไม่มาพูดจาให้ร้ายผม ผมก็ไม่ไปยุ่งกับท่าน แต่ถ้ายังมาพูดโจมตีรัฐบาล อยากถามว่ามีใครเขาทำกันบ้าง ยิ่งเป็นรัฐบาลที่มาอย่างผมเช่นนี้ มันไม่มีใครพูดได้ ที่ผ่านมาผมก็ให้พูด จะเขียนในโซเชียลมีเดีย อะไรก็เขียนไปเถอะ แต่มาต่อต้านผมตรงๆ ไม่ได้ ไม่มีใครเขายอม นี่ถือว่าให้โอกาสมาเยอะแยะแล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า แล้วอย่างคนที่ทำนองเดียวกับฉลาดที่นายกฯ เคยพูดถึงจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็เขาเรียกไปแล้ว ก็คุยดูก่อนว่าจะว่าอย่างไร ทำไมถึงพูดแบบนั้นแบบนี้ พูดท้าทายมันไม่ได้” เมื่อถามว่า แสดงว่าเป็นคำพูดที่แรงใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพ่อแม่คน มีพ่อ แม่ ลูก แล้วลูกคุณมาพูดกับคุณแบบนี้ได้หรือไม่ แต่ผมไม่ใช่พ่อเขานะ แต่หมายความว่าถ้าลูกคุณ ขัดคำสั่งคุณ คุณจะยอมหรือไม่ ผมว่าไอ้คนที่ชอบทำผิดกฎหมายกับผม ทำอย่างนั้นกับผมไม่ได้” เมื่อถามว่า ถ้าคนเหล่านี้ยังไม่เข็ดจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าไม่เข็ดก็ติดคุกไปเรื่อยๆ แค่นั้นเองจะไปยากอะไรเล่า ผิดอีกก็ติดอีก
เมื่อถามต่อว่าจะเป็นขบวนการออกมาดิสเครดิตก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้อนถามว่า “ทำไม เขาจะไม่เชิญผมหรืออย่างไร สื่อก็ต้องช่วยฉันบ้าง ถามว่าไอ้คนทำทำความดีหรือเปล่า สื่อต้องเสนอข่าวสองด้าน ถ้าเสนออีกฝ่าย บ้านเมืองฉิบหายใครรับผิดชอบ และขบวนการเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมลำบากอะไร เวลาไปต่างประเทศไม่เห็นมีใครรังเกียจผมสักคน แล้วเวลาผมไปต่างประเทศก็มีคนดูแลบ้านเมืองแทนอยู่และผมก็ไม่เคยหวั่นไหวอะไรทั้งสิ้น ถ้าหวั่นก็คงไม่มายืนอยู่ต้องนี้ ผมรู้อันตรายมันอยู่ตรงไหน แต่คนอีก 60-70 ล้านคนเสียโอกาสมาทั้งชีวติ ทั้งเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่จะว่าอย่างไรสื่อดูและเขียนถึงเขากันบ้างหรือเปล่า มัวมาเขียนให้สองฝั่งมาตีกันอยู่นั่นแหละ สื่อไม่เคยจะช่วยผม มีแต่ซ้ำอย่างเดียว ยืนยันผมไม่ได้บอกว่านักการเมืองเลวทั้งหมด ถ้าคนไหนที่รู้ว่าตัวเองผิด แล้วเข้าไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมแล้วถ้ากระบวนการยุติธรรมบอกว่าไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่ถ้าผิดก็หาวิธีการแก้ปัญหา ถือว่าปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว อันนี้ถึงจะเรียกว่าปรองดอง วันนี้ยังมาต่อสู้กับผมในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมแล้วสื่อไปเขียนให้เขาทำไม บางคนไปเอาข่าวต่างประเทศที่เขียนด่าผม ด่าประเทศไทยมาแปลเป็นภาษาไทย ขอร้องให้สื่อเสนอข่าวให้ความเป็นธรรมกับผมหน่อย คิดให้ดีว่า คนที่ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรมควรจะเขียนข่าวให้เขาหรือไม่ จะติดคุกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ จะไปขยายความให้เขาทำไม คนที่หนีคดี คนที่ไปต่างประเทศ สนับสนุนการกระทำที่หมิ่นสถาบัน ไปพูดกับเขาทำไม คุณไม่รักประเทศ ไม่รักสถาบันหรืออย่างไร มาตั้งคำถามให้ผมโมโห สังคมก็จะมากดดันผมอีก แล้วมันจะอยู่กันอย่างไร ความสุขก็ไม่มี จบแล้วก็คือจบ คดีอื่นก็ไปสู้กัน ถ้าคนเราไม่เขากฎหมายก็ไม่ได้ อย่างเรื่องจำนำข้าวจะผิดหรือถูกก็อยู่ที่กระบวนการยุติธรรม ผมเพียงแต่ชี้แจงข้อเท็จจริงว่าเสียหายอย่างไร ถ้าวิจารณ์กันมาก ก็อยากให้เห็นใจคนทำงานบ้างและผมก็อดทนมาเยอะแล้ว”
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวยอมรับว่าได้ยกเลิกการเดินทางไปเยี่ยมชมมหกรรมสินค้า China-ASEAN Expo ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงวันที่ 18-21 ก.ย.นี้ด้วย