ผ่าประเด็นร้อน
ถ้าจะพูดว่านับจากนี้คนที่สามารถต่อกรกับ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติคนนี้แหละ เพราะพิจารณาแบบรอบด้านแล้วถือว่ามีอยู่ครบเครื่อง นั่นคือ มีอำนาจ การรักษาอำนาจ และรู้จังหวะในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ต้องการยกย่องใคร หรือยกย่องคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เป็นเทวดา มีความสามารถเหนือคนอื่น แต่ที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่า เขา “ใหญ่” จริง มีบารมี ใช้ความร่ำรวยที่เริ่มมาจากธุรกิจผูกขาดสัมปทานรัฐอย่างมีเงื่อนงำมาต่อยอดขยายอำนาจออกไปแบบไร้ขีดจำกัด ที่สำคัญ เขารู้จัก “สร้างภาพ” รู้จักใช้เงินงบประมาณของรัฐมาสร้างความนิยมส่วนตัวจากสารพัดโครงการ “ประชานิยม” จนเวลานี้ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยยัง “หลงศรัทธา” ตัวเขาไม่เสื่อมคลาย และที่น่าแปลกใจก็คือเขาสามารถสร้างจุดขายเป็น “นักประชาธิปไตย” แบบตะวันตกมาได้อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น หากทำให้ ทักษิณ ชินวัตร และขบวนการของเขาฝ่อลงไป มีทางเดียวก็คือต้องมีคนที่โดดเด่นขึ้นมา และต้องสร้างความประทับใจให้กับชาวบ้านได้ดีกว่า และการจะสร้างความประทับใจได้ดีก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้องให้ได้ รวมไปถึงเรื่อง “บุคลิก” ที่แปลกแยกออกมา ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ทักษิณ นี่แหละมีจิตวิทยาเข้าใจนิสัยคนไทย เข้าใจชาวบ้านที่มีรายได้น้อย เพียงแต่ว่าทุกนโยบายที่นำออกมาใช้ล้วน “มีวาระซ่อนเร้น” มีประโยชน์แอบแฝงแทบทั้งสิ้น ซึ่งทำให้เขาพังจนต้องตกจากอำนาจ เพียงแต่ว่าเขาก็ยังไม่ตายสนิท เพราะยังมีชาวบ้านที่ยังหลงเชื่อ ยังประทับใจอยู่กับความเปลี่ยนแปลงในอดีตที่เขาหยิบยื่นให้ แม้ว่าจะเป็น “ยาพิษ” แต่ก็มีหลายคนที่ยังไม่รู้ หรือรู้แต่ยังรัก เพราะไม่มีการอธิบายอย่างตรง ๆ แบบต่อเนื่อง ตรงกันข้ามที่ผ่านมากลับมีการเกี้ยเซียะกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านที่เขารู้ทันทนไม่ไหวต้องออกมาประท้วงขับไล่ จนเหมือนกับว่านี่คือความแตกแยกทั้งที่มันไม่ใช่ เป็นเรื่องของการไม่ยอมรับการโกงและการอยู่เหนือกฎหมายต่างหาก
ย้อนกลับมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เวลานี้ถือว่ามีอำนาจมากที่สุดในประเทศ เป็น “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่เข้ามาแทน แม้หลายคนอาจมองว่ามีอำนาจมากจากการรัฐประหาร จน “เบ็ดเสร็จ” ทุกอย่างในเวลานี้ นั่นอาจจะใช่ แต่ไม่เสมอไป โดยเฉพาะกับ “การเมืองยุคใหม่” ที่มีองค์ประกอบซับซ้อนกว่าเดิม มีโลกโซเชียลที่ทำให้การสื่อสารฉับไว จนสื่อมวลชนต้องลดบทบาทลง เนื่องจากชาวบ้านทุกคนสามารถสร้างสื่อของตัวเองได้ ดังนั้น ทุกอย่างต้องอยู่ที่ “ศรัทธา” ต่างหาก ซึ่งที่ผ่านมาเขาทำได้ดีทีเดียว อาจเป็นเพราะมีการ “เตรียมการมาดี” มีการศึกษาฝ่ายตรงข้ามมาอย่างต่อเนื่องก็เป็นได้ โดยพิจารณาจากตัวอย่างคำพูดข้างล่างนี่ก็ได้
“ผมไม่มีได้ เสียประโยชน์ การสืบทอดอำนาจเหล่านี้เป็นอำนาจของประชาชนที่ไว้ใจให้ผมทำตอนนี้ และต้องสืบทอดอำนาจนี้ไปยังรัฐบาลหน้า ไม่ได้สืบเพื่อผม แต่สืบเพื่อประชาชนทุกหมู่เหล่า และไม่เห็นว่าจะเป็นการสืบทอดอำนาจตรงไหน เพราะอำนาจของประชาชนต้องอยู่ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมา มีปัญหาหรือไม่ และถ้ามีปัญหาก็ต้องหากลไกที่ทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีก” นายกฯ กล่าว และว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา และก่อนวันที่ 22 พ.ค. การบริหารราชการแผ่นดิน มีการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้ความรุนแรง ความไม่เข้มแข็งของเศรษฐกิจ ซึ่งคือโจทย์ปัญหาของประเทศไทย”
“ผมไม่ได้สั่งให้ผ่านหรือไม่ผ่าน หรือใครสั่งหรือรองนายกฯ สั่ง มันสั่งไม่ได้ ใน สปช. 250 คน มีทหารกว่า 30 คนเท่านั้น หากคิดอย่างนี้มันไม่ถูก ต้องไปดูเสียงทั้งหมดมีใครอยู่ในนั้นบ้าง ทหารเขาก็มีสิทธิ์ของเขา ซึ่งที่วิเคราะห์สาเหตุที่ไม่ผ่านนั้นอาจเพราะคำว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหรือเปล่า ที่ฝ่ายการเมืองออกมาพูดกัน โดยออกมาให้ข้อมูลตามสื่อต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหานี้ ที่ออกมาพูดให้ สปช. ไม่ผ่านร่าง เป็นนักการเมืองหรือเปล่า ถ้าผ่านมาแล้วต้องเสียเงิน 3,000 ล้านบาท ทำประชามติ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองพูด และพูดด้วยว่าถ้าผ่านก็จะไม่ผ่านการลงประชามติอีก คือสิ่งที่ทำให้ สปช. ทั้งหมดเป็นกังวล”
“ผมไม่เคยพูดสิ่งเหล่านี้ออกสื่อ ผมบอกอย่างไรก็ได้ แต่ก็มีคนพูดอย่างนี้ออกมา ผมขอถามโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงเขาจะคิดอย่างไร ถึงมันจะดีผ่านไปก็เท่านั้น ยังมีความขัดแย้งอยู่ต่อไป มันต้องทบทวนหรือไม่ ตรงนี้ผมคิดแทนนะ ไม่ได้ใช้สมองไปช่วยเขาคิด เพราะระมัดระวังที่สุดอยู่แล้ว เดี๋ยวจะหาว่ามีส่วนได้ส่วนเสีย อยากอยู่ต่อ อยากสืบทอดอำนาจ หากอยากสืบทอดอำนาจมีอย่างเดียวคือสืบทอดอำนาจของประชาชนที่ให้มาตอนนี้ ถ้าเขาไม่ไว้ใจ ผมคงอยู่ไม่ได้หรอก เขาเชื่อมั่น เขาฝากความหวัง ต้องการให้ทุกอย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากคำพูดรวม ๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังกล่าวก็ย่อมมองเห็นว่า “ไม่ธรรมดา” อาจเรียกว่าชั้นเชิงเข้าขั้น “ร้ายกาจมาก” ทีเดียว มีความเข้าใจอารมณ์ของคนไทยได้ดีทีเดียว ว่าคนไทยมีความรู้สึกแบบไหน มีความต้องการแบบไหน ซึ่งที่ผ่านมาเขาสามารถสนองอารมณ์ของชาวบ้านได้ในระดับที่คงเส้นคงวามาตลอด ทำให้ยังรักษาความศรัทธาเอาไว้อยู่ในระดับสูง รู้ว่าชาวบ้านยังมีความรู้สึกในทางลบกับนักการเมืองที่มีแต่เรื่องฉ้อฉล รังเกียจการคอร์รัปชัน ซึ่งเขาก็ตอกย้ำให้เห็นเรื่องจริงแบบนั้นตลอด
ขณะเดียวกัน บทเรียนที่ผ่านมาในอดีต ยังมีสิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านระแวง ก็คือ “การสืบทอดอำนาจ” และการใช้อำนาจของเผด็จการทหาร ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เน้นย้ำตลอดเวลาว่าไม่ต้องการอำนาจ ไม่สืบทอดอำนาจ ต้องการเข้ามาสะสางปัญหาที่นักการเมืองทำไว้ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก็จะไปตามทาง และรู้ดีว่าชาวบ้านเขาเกลียดการคอร์รัปชัน เขาก็ประกาศ “ห้ามโกง” ก็ถือว่าได้ใจมานาน
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ “กระแสเลือกตั้ง” และกระแสประชาธิปไตยตะวันตกในบ้านเราเริ่มฝ่อลงไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็ช่วงขณะหนึ่ง จนเริ่มไม่สนใจว่าจะเป็นเผด็จการหรือไม่ หากสามารถจัดการกับเรื่องการทุจริตฉ้อฉลลงไปได้ เพราะชาวบ้านยังมีความรังเกียจนักการเมือง ยังกลัวว่าหากมีการเลือกตั้งพวกนักการเมืองหน้าเดิมจะกลับมาอีก และอย่าได้แปลกใจที่มีเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ต่อ พิสูจน์ได้จากการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ผ่านมา ไม่ว่าสาเหตุมาจาก “ใบสั่ง” หรือไม่ แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับไม่มีปฏิกิริยาในทางลบมากนัก ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากท่าที ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องบอกว่าน่าจับตา เพราะเริ่มเห็นแล้วว่าคนนี้แหละที่สร้างความหวั่นไหวให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายได้มากที่สุด เพราะยิ่งนานยิ่งร้ายกาจ และจับทางยากขึ้นทุกที !!