ผ่าประเด็นร้อน
“วันนี้มาเป็นคนดีกันทุกคนเลย ก็รอคอยแล้วกัน กระบวนการยุติธรรมมันถึงกันหมด ถ้าสอบสวนเกี่ยวข้องกับใครก็โดนหมด ในคดีทุจริตอย่ามาบอกว่าไม่ทุจริตนะ ถ้าไม่ทุจริตคงไม่มีเรื่องหรอก และถ้าไม่มีเรื่องนี้ก่อนวันที่ 22 พ.ค. 57 ผมไม่มีโอกาสเข้ามายืนตรงนี้อยู่แล้ว และเวลาผมเข้ามา สื่อก็พยายามจะเบียดออกไปให้ได้ และเอาไปเทียบกับคนเหล่านี้ ผมคงไม่ไปเทียบด้วย ผมไม่ใช่คนทำผิดกฎหมาย ผมผิดในฐานะที่เข้ามารับผิดชอบ ตรงนี้ผิดรู้อยู่แล้ว แต่เอาผมไปผิดเหมือนคนทุจริตผิดกฎหมาย มันคนละระดับกับผม”
“การปรองดองคืออะไร เมื่อไหร่จะเข้าใจกันเสียที ไม่ใช่การยกโทษ เป็นเรื่องของกระบวนการ ทำให้ทุกพวกทุกฝ่ายลดระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น และแสวงหาทางออกร่วมกัน ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ ถ้าทำความผิดมันยกโทษให้ไม่ได้เข้าใจไหม ไม่มีใครยกโทษให้ได้ ฉะนั้นวันนี้ถ้าคุณมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ที่ผ่านมาเป็นไหม เป็นแล้วเกิดอะไรขึ้น ไปถามไอ้คนที่ออกมาพูดบ้างมันเกิดอะไรขึ้น มีคนตาย คนเจ็บ มีระเบิด และทำอย่างที่ทำบ้างหรือเปล่า”
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่กล่าวอย่างมีอารมณ์หลังจากถูกถามหลายเรื่องหลังจากที่สภาปฏิรูปแห่งชาติลงมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของการปรองดอง การแต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ รวมไปถึงเสียงวิจารณ์ถึง “ใบสั่ง” ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว แน่นอนว่าทุกคำถามเน้นไปถึงเรื่องกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าในคำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ มีเจตนาที่ต้องการสื่อไปถึงกลุ่มการเมือง “ขั้วใหญ่” ที่กำลังเคลื่อนไหว “หนักข้อ” ขึ้นเรื่อยๆ
พูดให้ตรงไปตรงมาก็คือ กลุ่มทักษิณ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทยนั่นแหละ แม้ว่าที่ผ่านมากลุ่มที่ต้องการให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญจะมีฟากของพรรคประชาธิปัตย์ผสมโรงออกมาด้วย แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีและผลกระทบแล้วน้ำหนักก็ต้องเทไปที่กลุ่มแรกมากกว่า เพราะถือว่าได้รับผลกระทบเข้าไปเต็มๆ จากสถานการณ์ในตอนนี้และวันหน้าไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ก็ตาม และยังหมายรวมไปถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะตั้งไข่นับหนึ่งกันอีกครั้งภายใน 30 วันนับจากนี้ก็เช่นเดียวกัน เพราะยังเชื่อว่าจะต้องมีมาตรการหรือข้อ “ห้ามคนมีประวัติโกง” หรือพวกที่มีประวัติทุจริตต่อหน้าที่เข้าสู่สนามการเมืองตลอดชีวิต จะต้องดำรงอยู่เหมือนเดิม
แน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติข้อห้ามแบบนี้ มีแต่ ทักษิณ ชินวัตร-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเครือข่ายเท่านั้นที่มีชนักปักหลัง แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องอนาคตที่ต้องรอดูผลงานการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยทีมใหม่กันเสียก่อน
แต่ที่แน่ๆ ในปัจจุบันเฉพาะหน้าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ หากพิจารณาจากคำพูดข้างต้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ประกาศว่า “ก็รอคอยแล้วกัน กระบวนการยุติธรรมมันถึงกันหมด ถ้าสอบสวนเกี่ยวข้องกับใครก็โดนหมด ในคดีทุจริต อย่ามาบอกว่าไม่ทุจริตนะ”
และที่กล่าวว่า “การปรองดองคืออะไร เมื่อไหร่จะเข้าใจกันเสียที ไม่ใช่การยกโทษ เป็นเรื่องของกระบวนการ และภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ ถ้าทำความผิดมันยกโทษให้ไม่ได้เข้าใจไหม” ทุกคำพูดที่ออกมามันก็ชัดเจนว่านับจากนี้ไปจะไม่มีการปรองดองด้วยการอภัยโทษหรือการนิรโทษกรรม ทุกอย่างต้องเดินไปตามกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็เคยกล่าวทำนองนี้มาบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าคราวนี้ชัดเจน
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีการใช้ “อำนาจพิเศษ” คือ “มาตรา 44” ลงนามถอดยศตำรวจของทักษิณ ชินวัตร โดยมีผลไปเรียบร้อยแล้ว นี่ก็ถือว่าชัดเจน เพราะหลังจากยืดเยื้อมาร่วม 10 ปี ก็ฟันฉับ แน่นอนว่างานนี้นอกจากเป็นการทำตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกิดขึ้นหลังจากทักษิณถูกศาลพิพากษาจำคุกจากคดีทุจริตซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาฯ เป็นเวลา 2 ปี คดีถึงที่สุดเข้าเกณฑ์อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาคนพวกนี้ทำตัวเป็น “ขาใหญ่” อยู่เหนือกฎหมาย เพราะที่ผ่านมามีนายกฯ มีรัฐมนตรีมีตำรวจคอยเป็นลูกน้องรับใช้จึงยื้อมาได้ทำผิดให้เป็นถูกมาตลอด ดังนั้นเมื่อมีการถอดยศ และก่อนหน้านั้นก็มีการเพิกถอนหนังสือเดินทางทุกชนิด นอกจากมีผลทางกฎหมายแล้วยังถือว่า “เสียฟอร์ม” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ ทักษิณ ชินวัตร จะมีอาการพลุ่งพล่าน แม้ว่าจะทำเป็นไม่ใส่ใจ ไม่มีความหมาย แต่สังเกตให้ดีจะเห็นว่าในคำพูดเหล่านั้นแฝงมาด้วยแรงยุแรงอาฆาต ที่สำคัญก็ยังกระทบชิ่ง “สถาบันเบื้องสูง” ในเรื่องการลงโทษผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 เช่นเดิม
ดังนั้นจะด้วยสถานการณ์บังคับหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่ก็ทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเปิดหน้าชกกันเต็มหมัดแล้ว ซึ่งฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่ยอมอยู่นิ่งเช่นเดียวกัน!