xs
xsm
sm
md
lg

“สุเทพ” ไฟเขียว รธน.บท “ตัวแปร” หนุน “พรรคสีเขียว” เต็มกำลัง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

“เรียกร้องว่าขอโอกาสให้ประชาชนทั้งชาติได้ตัดสินใจ ให้ประชาชนคนธรรมดาอย่างเราได้มีโอกาสตัดสินใจอนาคตของประเทศบ้าง ที่ให้ทำประชามติหวังที่สุดว่าทุกฝ่ายได้เคารพมติของประชาชน มีโอกาสดีช่วงบวชสัมผัสประชาชน ติดตามสถานการณ์ผ่านทางประชาชน พูดได้เต็มปาก พูดในฐานะร่างทรงของมวลมหาประชาชน”

“พวกผมมองทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริง มองว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นของประเทศ ส่วนความบกพร่องก็มีเป็นธรรมดาไม่สมบูรณ์ วันข้างหน้าก็แก้ไขได้ จะให้ถูกใจ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ แต่สาระสำคัญคือเป็นหลักประกันว่าอนาคตของประเทศไทย เราเห็นแสงสว่าง เราเห็นการพัฒนา เราเห็นโอกาสที่ประชาชนจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ประเทศมั่นคงปลอดภัย”

“ส่วนที่มีการมองว่าเป็นรัฐซ้อนรัฐนั้น แต่ละคนมุมมองไม่เหมือนกัน พวกผมมองว่าอยู่ที่ผลได้ผลเสียของประเทศที่จับต้องได้คือการปฏิรูป เราเอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้ง เมื่อจะปฏิรูปประเทศต้องลงทุน อย่างไรก็ตาม ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี่เรายังรู้สึกขาดคือการปฏิรูปตำรวจที่ยังน้อยไป ต้องฝากความหวังกับ คสช.ว่าประชาชนต้องการเห็นการปฏิรูปตำรวจ ทำได้ทันทีเดี๋ยวนี้ก็ได้ด้วยมาตรา 44”

คำพูดของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย อดีตเลขาธิการ กปปส.ได้นำคณะแถลงท่าทีสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยให้ผ่านการโหวตของสภาปฏิรูปแห่งชาติเพื่อนำไปสู่การลงประชามติของประชาชนเพื่อชี้ขาดต่อไป

แน่นอนว่าท่าทีดังกล่าวของ สุเทพ เทือกสุบรรณ และคณะเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ในวันนั้นหากไม่มีข่าวเรื่องการจับกุมผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางระเบิดที่แยกราชประสงค์มากลบก็ต้องถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาไม่น้อยเหมือนกัน เพราะนี่คือท่าทีที่ “สวนทางกันแบบสุดขั้ว” กับบรรดาแกนนำหรือผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคและผู้บริหารคนอื่นๆ ที่ชัดเจนก็คือคำพูดของ อภิสิทธิ์ ที่เรียกร้องให้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที โดยเห็นว่าหากปล่อยให้ผ่านไปจะสร้างปัญหาในอนาคต ก่อให้เกิดวิกฤตจากความขัดแย้งขึ้นมาอีก

ท่าทีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์หลายคน บังเอิญว่าไปสอดคล้องกับพรรคเพื่อไทย ที่มีทั้ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงมาต่างเรียกร้องให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เหมือนกัน และยังขู่ว่าหากผ่าน สปช.ก็จะรณรงค์คว่ำในขั้นตอนประชามติอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าข้ออ้างของพวกเข้าก็ต้องเกาะเกี่ยวมากับเรื่องประชาธิปไตยการยึดโยงกับประชาชนที่ถือว่าเป็น “จุดขาย” ที่ใช้ได้ผลมาอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นว่า จากท่าทีคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้มองว่าทั้งสองพรรคกลายเป็น “พันธมิตรเฉพาะกิจ” ปรองดองกันโดยปริยาย เชื่อว่าทำให้มวลชนผู้สนับสนุนทั้งสองพรรคดังกล่าวคงมองด้วยสายตาแปลกๆ งงๆ ว่ามันมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ได้อย่างไร

วกมาที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เติบโตมาจากพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าประกาศอย่างชัดเจนว่าได้หันหลังให้กับพรรคประชาธิปัตย์ และการเมืองในสภาอย่างสิ้นเชิงแล้ว หลังจากที่นำมวลชนออกมาในฐานะเลขาธิการ กปปส.แล้วหันไปสู่การขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชนเต็มตัวและยืนยันว่าเดินหน้าเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยตามที่มวลชนต้องการ อย่างไรก็ดี นั่นเป็นการประกาศท่าทีของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น บรรดาแกนนำคนอื่นๆ ที่ที่ร่วมเคลื่อนไหวด้วยกันมายังไม่ทิ้งการเมืองและแทบทั้งหมดยังยืนยันว่าหากมีการเลือกตั้งเมื่อใดก็จะเดินกลับไปลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ดังเดิม ดังนั้นถ้าให้พิจารณาแบบที่เข้าใจก็คือ ในพรรคประชาธิปัตย์จะต้องมี “กลุ่มสุเทพ” หรือกลุ่ม กปปส.มีบทบาทอยู่

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีมานาน ระหว่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ กับกลุ่ม “อำนาจใหม่” ที่นำโดย “สองพี่น้องบูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่างน้อยก็ช่วงรัฐบาลที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ถือว่าเป็น “ดีล” ที่เกิดขึ้นระหว่าง สุเทพ กับ “พี่ใหญ่” คนนั้น หรือแม้แต่ช่วงชุมนุมของ กปปส.ต่อเนื่องมาจนถึงการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เขาก็เปิดเผยว่ามีการติดต่อรับรู้กันมาตลอด และที่ผ่านมาทั้งในทางลึกและเปิดเผยก็มีการช่วยเหลือให้โอกาสกันมา

สังเกตได้จากในช่วงที่ราคายางพาราและราคาปาล์มตกต่ำ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในบทบาทของ “พระสุเทพ ปภากโร” ก็เดินสายขอร้องมวลชนในภาคใต้ให้ “ใจเย็นๆ” ให้โอกาสรัฐบาลมีเวลาแก้ปัญหา อย่าออกมาประท้วง จนกระทั่งมาถึงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกสองพรรคใหญ่ดังกล่าวต่อต้านและจ้องคว่ำในชั้นลงประชามติ เขาก็ต้องออกโรงสนับสนุนให้ผ่านไปก่อน

ดังนั้น ภาพที่เห็นในวันนี้และต่อเนื่องในวันหน้าก็คือ สุเทพ ในนามของมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ จะต้องแนบแน่นอยู่กับกลุ่ม “อำนาจใหม่” หรือ “พรรคสีเขียว” กลุ่มนี้ เพราะไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะตกไปในขั้นตอนไหน หรือผ่านประชามติมีผลบังคับใช้ ทุกอย่างก็ยังอยู่ในมือของสองพี่น้องบูรพาพยัคฆ์อย่างมั่นคงตาม “โรดแมป” ที่วางเอาไว้ เพราะไม่ว่าออกซ้ายหรือขวาพวกเขาก็ “กินรวบ” อยู่ดี และอยู่ยาวเสียด้วย!
กำลังโหลดความคิดเห็น