xs
xsm
sm
md
lg

ยุ กมธ.ยกร่างฯ เขียนบทเฉพาะกาล “4 ปี ปฏิรูป” - “ป๊อก” วัดใจ สปช.คว่ำ-ไม่คว่ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
“สปช.วันชัย” ยุ กมธ.ยกร่างฯ เขียนบทเฉพาะกาล รธน.ชัดๆ กล้าเขียน “4 ปี ปฏิรูปประเทศ” ด้าน “อนุพงษ์” เมินคำพูดทักษิณ แขวะ! เอาคนมาขัดแย้งกันเลวร้ายกว่า วัดใจ สปช.คว่ำ-ไม่คว่ำร่างฯ ส่วน ปชป.ตั้ง 3 คำถามกังวลปรองดองกับรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ด้าน “จตุพร” ไม่ขัดข้อง คสช.จะอยู่ยาว อัด อย่ามาอ้อมค้อม “เพจโอ๊ค” ซัด “จะทำอะไร ทำไปตามสบาย”

วันนี้ (17 ส.ค.) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงข้อเสนอการปฏิรูป 2 ปีก่อนการเลือกตั้งของนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิก สปช.และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และการให้มีรัฐบาลปรองดองเพื่อการปฏิรูปของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิก สปช. รวมถึงแนวทางของตนที่ให้มีการคว่ำรัฐธรรมนูญว่า ทั้ง 3 แนวทางมีเจตจำนงตรงกัน คือ ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ตนเห็นว่าวิธีการของนายไพบูลย์และนายเอนกเป็นวิธีการที่เสี่ยงเกินไปและถ้ารัฐธรรมนูญผ่าน แต่ประชามติ 2 คำถามเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ผ่าน นั่นก็หมายความว่าคนไม่สนใจเรื่องการปฏิรูปและการปรองดอง สนใจแต่ต้องการเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้น ที่ตนบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับไปเหมือนเดิม แม้ว่าจะมีกลไกให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปกครองแห่งชาติ ก็อาจจะทำอะไรไม่ได้ถ้ารัฐบาลที่มาเป็นคนละพวก หรือถ้าฝ่ายตรงข้ามกับกรรมการยุทธศาสตร์ฯเขาไม่เอาด้วย อาจจะคอยสกัดปัดแข้ง ปัดขาก็จะกลายเป็นเสือกระดาษ เป็นยักษ์ไม่มีกระบองหรือจะมีอำนาจพิเศษก็ตอนที่บ้านเมืองวิกฤตเท่านั้น สุดท้ายกรรมการยุทธศาสตร์ฯก็คงนั่งมองตากัน ดังนั้นวิธีการของตนที่ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญไม่เสี่ยงและไม่เสียหาย

ทั้งนี้ ตนขอเสนอให้คณะกรรมาธิการยกร่างฯเขียนในร่างรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนเปิดหน้าชก หงายไพ่ไปเลยให้ประชาชนได้รู้ได้เห็น ไม่ต้องปิดบังหลบๆ ซ่อนๆ เหนียมอาย โดยเขียนไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในวาระเริ่มแรก 4 ปีนี้ต้องการให้ภาคประชาชน ข้าราชการ ทหาร และตำรวจร่วมกันปูพื้นฐานของประเทศนี้ และให้มี ส.ส.จากการเลือกตั้งของประชาชน 300 คน จะสังกัดพรรคหรือไม่สังกัดพรรคก็ได้ รวมถึงให้มี ส.ว.จากการสรรหาจากกลุ่มพลังที่มีอำนาจทางสังคม 200 คนร่วมกันเป็นสมาชิกรัฐสภาทำภารกิจดังกล่าวภายในระยะเวลา 4 ปี

“เห็นเขียนกันให้ชัดๆ อย่างนี้จะได้รู้ไปเลยว่า สปช.โหวตผ่านไปแล้วและไป ทำประชามติถามประชาชนว่าเขาจะเอาด้วยหรือไม่ คนที่จะมาเป็นรัฐบาลหรือเป็นกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ก็จะมีพลังมีอำนาจในการขับ เคลื่อนอย่างเต็มที่ จึงจะแก้ปัญหาได้จริง แต่ถ้าประชามติรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็เริ่มนับ 1 ร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่เอาเวลาที่เหลือตรงนั้น ทำการปรองดองทำการปฏิรูปให้สำเร็จเสร็จต่อไป ถ้าทำแบบนี้ผมว่าตรงไปตรงมา แต่ที่ร่างออกมานั้นสุ่มเสี่ยง ไม่มั่นใจจะเสียของเสียเวลาหรือไม่” นายวันชัยกล่าว

ด้าน นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และกิจกรรมพิเศษภาคอีสาน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กับนายประสาร มฤคพิทักษ์ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านการเมือง ที่เสนอข้อคำถามประกอบการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการมีกลไกป้องกันและขจัดความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงหลังการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยอย่างน้อยใน 4 ปีแรกหลังใช้รัฐธรรมนูญ ให้มีรัฐบาลปรองดองเพื่อการปฏิรูปฯ ว่า รู้สึกกังวลกับคำว่าปรองดอง และรัฐบาลปรองดองแห่งชาติว่าต้องการอะไรกันแน่ ดังนั้น ตนจึงฝากถามนายเอนกในฐานะผู้เสนอญัตติ ดังนี้ คือ 1. คำว่าปรองดองและรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ หมายถึงการให้เลิกแล้วต่อกันระหว่างผู้เคารพกฎหมาย กับผู้ทำร้ายทำลายกฎหมายหรืออย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นยังให้จับมือกันอีกใช่หรือไม่ 2. ที่บอกให้ 2 พรรคการเมืองใหญ่ รับภาระในการหาทางออกให้บ้านเมืองไปสู่สันติภาพ คือ ให้จับมือกัน ปรองดองหรือฮั้วกัน แล้วนายเอนกรับภาระอะไรอยู่บ้าง หรือรับภาระให้ใคร

3. ถ้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ก็ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จทำได้เลย แต่ตนและประชาชนกลับไม่สบายใจกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), สปช.ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะล่าสุดที่ประทับตราความถูกต้องให้ 248 ส.ส.สวนทางกับมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และความรู้สึกของประชาชนทำให้เครือข่ายผู้ละเมิดกฎหมายกลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง

ดังนั้น จึงสับสนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่อุทิศแรงกายแรงใจเข้ามาแก้ไขปัญหาคิดอย่างไรกับแนวทางของนายอเนก และการโหวตของ สนช.ที่ คสช.ตั้งขึ้น

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกระแสข่าวการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่จะคิดพิจารณาให้ดี เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และตนไม่ทราบว่าร่างรัฐธรรมนูญสุดท้ายเป็นอย่างไร หากจะคว่ำต้องเป็นความเห็นของผู้รู้ สปช. และคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว จึงไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร เมื่อถามว่าหลายฝ่ายมองว่ามีการปกปิดรายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ จะปิดอย่างไร เพราะสุดท้ายต้องออกสู่สังคม และต้องมีการเผยแพร่ก่อนที่จะลงมติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนหลายพรรคการเมืองที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าถือว่าประชาธิปไตยของเรามาถึงขั้นนี้แล้ว ก็วิพากษ์วิจารณ์ได้เลย เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นไปทางใดทางหนึ่ง บางคนก็มองว่าดี แต่บางคนก็มองว่าไม่ดี

เมื่อถามว่าจุดที่ถูกติติงต้องนำมาทบทวน พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของสปช.ต้องช่วยกัน ถ้าสิ่งที่ติง ถ้ามันดีต้องชี้แจง แต่ถ้าไม่ดี ก็ต้องถูกนำไปพิจารณา เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาวิจารณ์ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เลวร้ายที่สุด พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ตนขอไม่พูดถึงดีกว่า คิดว่าการที่จะเอาคนมาขัดแย้งกันเลวร้ายกว่ารัฐธรรมนูญเป็นกลไกทำให้บ้านเมืองมีกฎกติกา ถ้าจะว่าเลวร้ายที่สุดก็แล้วแต่

ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. กล่าวถึง กรณีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อาจมีมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญว่า เป็นการเจตนาที่จะเขียนร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการคว่ำอยู่แล้ว เพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่เลวร้ายที่สุด ไม่ได้มีการอธิบายถึงความหลักแหลม เป็นการวางรัฐประหารล่วงหน้า ตนรู้ตั้งแต่เปิดประตูดึงคนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เพราะที่จะมีการตั้งกรรมการยุทธศาสตร์ขึ้นมาควบคู่ในการบริหารประเทศและมีการนำนายกรัฐมนตรีแม่ทัพนายกองไปเป็นกรรมการนั้นในความเป็นจริงจะทำให้ไม่สามารถบริหารประเทศได้ เป็นการคิดแบบผิดหลักการ การร่างรัฐธรรมนูญเป็นขั้นตอนของ สปช. แต่ร่างอย่างไรมันก็ไม่ดีขึ้นมานั้นผิดหลักการบริหารประเทศแบบชัดเจน ต่อให้ร่าง 100 รอบก็ยังไม่ดีถ้ายังมีร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 35 (10) ที่เสมือนการล็อกสเปกไว้

ส่วนที่อ้างว่าจะอยู่ต่อเพื่อปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งนั้น นายจตุพรมองว่า การพูดเรื่องปฏิรูปครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึง นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ก็เคยพูดเรื่องนี้มาแล้ว และสรุปเรื่องราวไว้อย่างครบถ้วนแล้ว ดังนั้นมองว่าการปฏิรูปไม่มีวันที่จะทำได้ และจบลงด้วยคนเพียงคนเดียว เพราะการปฏิรูปคือการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีวันจบ เช่นเดียวกับปัญหาของประเทศ ที่ไม่มีรัฐบาลใด จะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้จบ ดังนั้นมองว่า การพูดเรื่องการปฏิรูปประเทศเป็นเพียงวาทกรรมที่จะใช้อยู่ในอำนาจเท่านั้น ในแม่น้ำ 5 สายไม่ควรมีกลุ่มการเมืองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตนเองไม่ขัดข้องถ้า คสช.จะอยู่ต่อ จะอยู่นานเท่าไหร่ก็อยู่ไป แต่อย่ามาอ้อมค้อม เพียงแค่บอกมาตรงๆ ว่าจะอยู่ต่อไม่ใช่ทำมาตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ซึ่งต้องให้เกียรติคนไทยด้วย

เมื่อถามว่ามีการพูดคุยกับคนเสื้อแดงในต่างประเทศเรื่องคณะกรรมการยุทธศาสตร์ และทราบถึงงานเลี้ยงคนเสื้อแดง ที่ มี พ.ต.ท.ทักษิณ นวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปพูดที่ประเทศฟินแลนด์ ถึงเรื่องรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น นายจตุพรกล่าวว่า ตนยังไม่ได้ดูคลิปดังกล่าว แต่เชื่อว่าพี่น้องเสื้อแดงที่มีอยู่ทุกมุมโลกก็ต้องคิดแบบเดียวกับตนในเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเองก็เช่นกัน โดยส่วนตัวนั้นยังไม่ได้มีการพูดคุยกับคนเสื้อแดงหรือ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด เนื่องจากคำสั่ง คสช.ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง การพูดหรือการแสดงออกจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ที่คนเสื้อแดงแสดงออกมาก็เป็นการแสดงออกทางความคิดที่วิญญูชนทำกันเท่านั้นเอง

วันเดียวกัน มีรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “จะถอดยศ ถอดกางเกงอะไรก็ทำไปเถอะตามสบาย เป็นพาดหัวของสื่อออนไลน์หลายสำนักในวันนี้ครับ..!!

การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงแม้คุณพ่อผมจะไม่ให้ความสำคัญ กับเรื่องนี้เลย เพราะมองว่ายศฐาบรรดาศักดิ์เป็นของนอกกาย และคนเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 2 สมัย คงไม่มีใครมานั่งอาลัยอาวรณ์กับยศของทางราชการ ที่ติดตัวมาในอดีต ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว

แต่....สิ่งที่น่าสงสัยก็คือ เจ้าตัวที่จะโดนถอดยังไม่สนใจเลย แต่ทำไมรัฐบาลนี้จึงให้ความสำคัญกับการถอดยศของอดีตนายกฯ มากกว่าปัญหาปากท้องของประชาชนยิ่งนัก

ให้ความสำคัญถึงขั้นที่ นายกฯต้องมอบให้รัฐมนตรียุติธรรม เป็นประธานการประชุมด้วยตนเอง และสรุปผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการได้ ภายในการประชุมแค่ครั้งเดียว..!!

และรัฐบาลนี้จะให้ความสำคัญ กับเรื่องความผิดในลักษณะเดียวกัน ของอดีตนายกฯ ที่ถูกมองว่าเป็นทหารเหมือนกัน หรือของอดีตนายกฯ ที่สนับสนุนพรรคพวกตน ให้ออกมาเป่านกหวีดป่วนเมือง จนผู้นำรัฐบาลนี้ สามารถใช้เป็นเหตุในการปฏิวัติ ยึดอำนาจการปกครอง ไปเป็นของตนเอง ด้วยมาตรฐานเดียวกัน..หรือไม่..??

เช่นในวันนี้ ถ้าเกิดมีคนสงสัยแล้วถามว่า เรื่องร้อยตรีอภิสิทธิ์ฯ อดีตนายกฯ ที่ถูกกล่าวหาว่าหนีทหาร และถูกล่าวหาว่าใช้เอกสารเท็จ เข้ารับราชการทหาร จนโดนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องถอดยศจนเสร็จสิ้น ท่านจะมอบให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เรียกประชุมเพื่อเร่งรัดกระบวนการ แบบที่ทำนี้บ้างหรือไม่..??

และอีกกรณีหนึ่ง ในเมื่อการจะถอดยศครั้งนี้ เกี่ยวเนื่องกับกรณีที่ดินรัชดา ที่คุณพ่อผมผิดฐานเซ็นชื่อ ยินยอมให้ภรรยาไปประมูลที่ดิน แต่กลับต้องติดคุก 2 ปี จึงเป็นเหตุให้ต้องดำเนินการถอดยศ

ถ้ามีคนถามต่อถึง กรณีที่มีการเปรียบเทียบกันมาโดยตลอดว่า การบุกรุกเขายายเที่ยงของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ อีกคนหนึ่ง ที่น่าจะสร้างความเสียหายมากกว่าการไปประมูลซื้อที่ดินรัชดา ซึ่งเป็นการขาดทอดตลาดอย่างถูกกฏหมาย เนื่องจากการบุกรุกป่าสงวน - ต้นน้ำลำธารนั้น จะส่งผลต่อลมฟ้าอากาศทำให้ น้ำท่วม - น้ำแล้ง ชาวบ้านเดือดร้อนกันถ้วนหน้า สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติมากกว่ากันหลายเท่า

ในเมื่อได้ข้อสรุปว่า การสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศ บนป่าสงวนแห่งชาติ (ลุ่มน้ำชั้น 1A ป่าต้นน้ำลำธาร ที่ต้องอนุรักษ์ขั้นสูงสุด) ของ พล.อ.สุรยุทธฯ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย จนกรมป่าไม้ มีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกให้หมด ท่านจะมอบให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รีบดำเนินการเรียกประชุมด่วน เพื่อพิจารณาถอดยศ แบบที่ทำกับคุณพ่อผมบ้างหรือไม่..??

อดีตนายกฯ ฝั่งหนึ่ง โดนพิจารณาเอาผิด สอยลงจากตำแหน่ง มาแล้วถึง 4 คน ข้อหาหน่อมแน้มถึงขั้น ทำกับข้าวออกทีวีก็ถูกปลดจากนายก ขณะที่นายกฯ อีกฝั่ง ทำอะไรก็ไม่มีความผิด แบบนี้การปรองดองของคนในชาติ จะสำเร็จได้อย่างไร..??

“การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ความยุติธรรมจะต้องมาก่อน”

เป็นสัจธรรมซึ่งผมได้พูดอยู่เสมอมา ซึ่งก็หมายความว่า การกระทำประเภท 2 มาตรฐาน ไม่ควรจะมีหลงเหลืออยู่ในสังคมไทย

รัฐบาลนี้จะจริงใจ ในการแก้ปัญหาหมักหมมของประเทศชาติ จะสร้างความปรองดองได้สำเร็จจริงหรือไม่ พิสูจน์แค่เรื่องสองมาตรฐานก็พอครับ”


พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช.
กำลังโหลดความคิดเห็น