“ปานเทพ” เปิดแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า PDP 2015 ชี้ อย่ากังวลไฟฟ้าไม่พอใช้ เพียงแค่ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 1 - 2% ไทยสามารถรอเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ถูก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพมากกว่านี้ได้ถึง 20 ปี แถมมีอำนาจต่อรองสูงสุดเหนือผู้รับสัมปทานเดิมแหล่งบงกช และเอราวัณ ให้กลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ได้ด้วย
วันที่ 15 ส.ค. เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ แกนนำเครือข่ายปฏิรูปพลังงาน (คปพ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ หัวข้อ “อย่าแถ! แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558 - 2579” ตามข้อความดังนี้
“แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558 - 2579 หรือที่เรียกว่า PDP 2015 ที่จัดทำโดยสำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน นั้น ได้มีการจัดทำแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ดังนั้น ใครที่คิดว่าเป็นข้อมูลเก่าในอดีต และล้าสมัย ก็ต้องเข้าใจว่าข้อมูลนี้จัดทำแล้วเสร็จมาหมาด ๆ เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมานี้เอง
และเป็นการจัดทำโดยกระทรวงพลังงาน ที่ผ่านความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีไทย
ที่มาของตัวเลขนี้ก็มาจากข้อมูลทางวิชาการในหลายมิติ เช่น อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการเจริญเติบโตของประชากร เพราะการสร้างต้องมีเวลาและคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคต จึงต้องมีสมมติฐานวางเอาไว้ล่วงหน้า 20 ปี
ไม่ใช่ว่าผมจะเชื่อว่าแผนนี้จะถูกตัองและเป็นจริงเสมอไป แต่แผนนี้จะนำไปสู่การสร้างโรงไฟฟ้าจริง!!!
ดังนั้น หากใครคิดว่าแผนนี้สมมติและไม่น่าเชื่อถือ ก็ต้องตระหนักว่าการสร้างโรงไฟฟ้าไม่ได้สมมติไปด้วย แต่จะสร้างโรงไฟฟ้าจริง เพิ่มต้นทุนไฟฟ้าให้กับประชาชนจริง ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือสุขภาพได้จริง
การปรับแผนความต้องการใช้ไฟฟ้าจะต้องมีการทบทวนเป็นระยะ ๆ เพื่อพิจารณาว่าสิ่งที่คาดการณ์นั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง?
ด้วยเหตุผลนี้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าจึงย่อมสามารถเปลี่ยนแปลง และแก้ไขได้ตามสถานการณ์ แต่จะต้องมีความระมัดระวัง 2 ประการ
ประการแรก ถ้าแผนการผลิตไฟฟ้าต่ำเกินไป ก็จะทำให้เกิดวิกฤตขาดไฟฟ้า เพราะเมื่อถึงเวลานั้นก็จะผลิตไฟฟ้าไม่ทัน
ประการที่สอง ถ้าแผนการผลิตไฟฟ้าสูงเกินไป ก็จะทำให้เกิดภาวะมีโรงไฟฟ้ามากเกินความต้องการ ผลก็คือ ต้นทุน และค่าใช้จ่ายเหล่านั้น ต้องตกเป็นภาระของประชาชนโดยไม่จำเป็น
ด้วยเหตุผลนี้แผนพัฒนาผลิตไฟฟ้า จึงต้องเริ่มต้นหา “ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด” ของแต่ละปี ซึ่งอาจจะมีเพียงวันเดียวหรือไม่กี่วัน มาเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าความต้องการสูงสุดแม้แต่วันเดียว
แต่ความเป็นจริงแล้วในปีหนึ่ง ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 20%
จากนั้นเมื่อดูสถิติการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในรอบหลายปีแล้ว ก็ต้องมีการคาดการจากอัตราการใช้ไฟฟ้าไปข้างหน้า 20 ปี ซึ่งสมมติฐานนี้อยู่ที่แบบจำลองทางเศรษฐกิจ และจำนวนประชากร ฯลฯ ในที่นี้กระทรวงพลังงานได้ปรับแผนอัตราการเจริญเติบโตในความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดจากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (แผน PDP 2010) เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 4.41% ลดลงมาเหลือเพียง 3.94% เพราะในช่วงหลังประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์
ก็อาจจะมีคำถามว่า เกิดสมมติว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่า 3.94% ประเทศไทยจะขาดไฟฟ้าหรือเปล่า?
คำตอบคือไม่ใช่!!!
เพราะแผนการผลิตไฟฟ้าจะต้องมีการผลิตไฟฟ้าให้เกินความต้องการสูงสุดไปอีก 15%
ทำไมต้องเป็นตัวเลข 15% !?
เพราะประเทศไทยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเศรษฐกิจตกต่ำหรือเฟื่องฟู อัตราการเจริญเติบโตไม่เคยโตถึงปีละ 18.94% (เผื่อ 15%+ อัตราเพิ่มความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดต่อปี 3.94%)
อัตราการเจริญเติบโตเศรษฐกิจย้อนหลังกลับไป ต่ำที่สุด คือ ในปี พ.ศ. 2541 ติดลบ 10.50 อัตราการเจริญเติบโตสูงสุดเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2538 โตขึ้น 9.2% (เฉลี่ย 20 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.2% ต่อปี)
ดังนั้น การเผื่อกำลังไฟฟ้าสำรอง 15% นี้ จึงเป็นหลักประกันเพียงพอว่า
1. เราจะไม่ขาดไฟฟ้าตามแผนผลิต และ
2.เราจะไม่ผลิตไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น
ดังนั้น ข้ออ้างว่า ตัวเลขที่เกิดขึ้นนั้นอาจไม่เพียงพอเพราะต้องเผื่ออัตราการเจริญเติบโตที่มากกว่าแผนนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะมีโอกาสน้อยมาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่ประเทศไทยจะกลับมามีอัตราการเจริญเติบโตปีใดปีหนึ่งพรวดเดียวเกินกว่า 18.94% จนผลิตไฟฟ้าไม่ทัน
ด้วยความที่แผนผลิตไฟฟ้าที่มีการสำรองมากพอสมควร ต่อให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเกินกว่าแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า เราก็คงจะรู้ตัวเพราะเห็นแนวโน้มก่อนล่วงหน้า และปรับแผนการผลิตได้อีกครั้ง เช่นเดียวกับกรณีหากอัตราการเจริญเติบโตต่ำกว่าที่วางแผนไว้เราก็คงต้องปรับแผนอีกเช่นกัน
แต่แผนที่ร่างโดยกระทรวงพลังงานที่อ้างว่าปรับแล้วมันสูงเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด + สำรองขั้นต่ำ 15% ไปอย่างมากมายมหาศาล
ตามแผนผลิตไฟฟ้า (PDP 2015) ผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสูดในปี 2558 ถึง 42%
ตามแผนผลิตไฟฟ้า (PDP 2015) ผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสูดในปี 2567 ถึง 63%
เรากำลังวางแผนสร้างโรงไฟฟ้ามากเกินไปอย่างชนิดมโหฬาร มหาศาล
เป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนชาวไทยแพงเกินความจำเป็น!!!
ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเกินความจำเป็น!!!
ไม่อยากจะเคลือบแคลงสงสัยเลยว่าในอดีตวงการค้าขายเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าต้องจ่ายใต้โต๊ะให้กับใครบางคนเมกะวัตต์ละ 1 ล้านบาท จริงหรือไม่? และพ่อค้าขายถ่านหินก็ไม่รู้ว่าต้องจ่ายเงินเข้ากระเป๋าให้ใครอีกเท่าไหร่? ตรงนี้ทำให้บางคนจึงกระเหี้ยนกระหือรืออยากสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในยุคของตัวเองให้มากที่สุด มากเกินความต้องการสูงสุด และมากเกินความจำเป็น จริงหรือไม่?
เมื่อเราลองนำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า PDP 2015 มาหักออกโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่ เราก็ยังเหลือไฟฟ้าสูงเกินความต้องการสูงสุดระหว่าง 26 - 59%
เมื่อยังเหลือไฟฟ้าสูงเกินสำรองอยู่อีก เราลองหักจากโรงไฟฟ้าที่จะรับซื้อจากต่างประเทศเพิ่มเติมตามแผน PDP 2015 ผลปรากฏว่าเรามีไฟฟ้าเกินกว่าสำรอง 15% ไปอีก 19 ปี ยกเว้นปีที่ 20 และ 21 จะต่ำกว่าสำรอง 15% เล็กน้อย และเพียงแค่เราส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอีกปีละ 112 เมกะวัตต์ หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณอีกเพียงแค่ 1 - 2% ของพลังงานหมุนเวียนตามแผน PDP 2015 ก็จะมีไฟฟ้าสำรองพอดี 15% ในปีที่ 21
พอทำตามข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นแล้ว ประเทศไทยก็ยังมีไฟฟ้าเหลืออีกมากระหว่างปี พ.ศ. 2565 - 2569 ดังนั้นจึงทำให้เราสามารถ “เปิดประมูลรับจ้างผลิตแหล่งก๊าซธรรมชาติในบงกชและเอราวัณ” ที่กำลังจะหมดอายุในช่วงเวลา พ.ศ. 2565 - 2566 เพื่อมาผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมได้ด้วย ประเทศไทยจะได้ความมั่งคั่งในแหล่งก๊าซที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยกลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยไม่ต้องกลัวการขาดความต่อเนื่องแต่ประการใด และสามารถนำความมั่งคั่งนั้นมาใช้ประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแน่นอน
เพราะต่อให้การที่รัฐจะประมูลรับจ้างผลิตในแหล่งบงกช และเอราวัณ แล้วสมมุติใช้เวลาช่วงรอยต่อที่อาจขาดตอน 3 - 4 ปี กว่าจะเริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติได้จริง ประเทศไทยก็ยังมีไฟฟ้าเกินกว่าสำรองขั้นต่ำ 15% ในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ดี
และความจริงก็ไม่เลวร้ายต้องใช้เวลา 3 - 4 ปีหรอก เพราะคนที่ทำงานอยู่บนแท่นขุดเจาะนั้นเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย สามารถดำเนินการต่อได้ภายในไม่เกิน 1 ปี นี่คืออำนาจต่อรองสูงสุดของประเทศไทยที่อยู่เหนือบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานเดิมในแหล่งบงกชและเอราวัณ
ส่วนคนที่อ้างว่าไฟฟ้าจะแพงถ้าเราไม่ยอมรับโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะต้นทุนถูกกว่าพลังงานอย่างอื่นนั้น
ความจริงแล้วถ้าค่าไฟฟ้าจะแพงก็เพราะสร้างโรงไฟฟ้ามากเกินต่างหาก และต้นทุนถ่านหินที่ว่าถูกนั้นมันก็ถูกเพียงแค่วัตถุดิบ แต่กลับไปแพงตรงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และต่อให้อ้างว่ามีเทคโนโลยี “ลดมลพิษลง” นอกจากจะต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้นแล้วทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอีกด้วย มลพิษที่สะสมมากเกินไปอยู่ทุกวันนี้ ก็ทำลายทั้งสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงไม่ควรจะเติมมลพิษใด ๆ โดยไม่จำเป็นอีก เพราะคุณค่าชีวิตของพลเมืองดีไม่สามารถวัดมูลค่าด้วยเงิน
สุดท้ายนี้ ประเทศนี้ยังมีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตขึ้น มีประชากรมากขึ้น แปลว่าเราต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ก็คือ “เวลา”
ถ้าเรามี “เวลา” มากพอ ก็แปลว่าเราไม่จำเป็นต้องเร่งสร้างโรงไฟฟ้าให้มากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าถ่านหินและนิวเคลียร์ที่ประชาชนมีความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจ
และถ้าเราไม่รีบเกินความจำเป็น และมีเวลาพอ เมื่อถึงเวลาที่เราสามารถรอได้ถึง 20 ปีข้างหน้า ก่อนถึง 20 ปีข้างหน้าเราก็อาจจะมีเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าหมุนที่ถูกกว่านี้ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่านี้ และเป็นมิตรต่อสุขภาพคนไทยมากกว่านี้
และข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นพบว่าเรา “มีเวลา” ที่จะยังรอได้!!!
แต่ถ้าเราผลีผลามเร่งสร้างโรงไฟฟ้าที่มีมลพิษ อันตราย ประชาชนไม่ไว้วางใจ ฝืนกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกแล้ว ถ้าไม่ถูกสงสัยว่าไม่ฉลาดแล้ว ก็อาจถูกสงสัยว่ามีผลประโยชน์ส่วนตนทางใดทางหนึ่งหรือไม่?”