xs
xsm
sm
md
lg

กมธ.ศึกษา กม.ปิโตรเลียม ชง สนช.ตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติคุมเบ็ดเสร็จ แนะชะลอเปิดสัมปทานรอบ 21

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กมธ. วิสามัญศึกษา กม. ปิโตรเลียม เสนอ สนช. ตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติคุมเบ็ดเสร็จ พร้อมแนะควรชะลอเปิดสัมปทานรอบ 21 จนกว่าจะแก้กฎหมายสำคัญเสร็จ แต่หากจำเป็นต้องเปิดประมูลเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายด้านพลังงานของประเทศ ควรใช้ระบบแบ่งปันผลประโยชน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 11 มิ.ย. มีวาระการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 สนช. ที่มี พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ สมาชิก สนช. เป็นประธาน

สำหรับข้อเสนอของคณะ กมธ. ที่สำคัญ คือ การให้ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company) ให้มีฐานะเป็นตัวแทนของรัฐ เป็นผู้มีสิทธิเพียงรายเดียวในการสำรวจและให้สิทธิเกี่ยวกับปิโตรเลียมในการดำเนินการบริหารจัดการปิโตรเลียมและการบังคับบริษัทน้ำมันเอกชนในฐานะคู่สัญญาโดยตราเป็นกฎหมายในระดับ พ.ร.บ. ให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติมีสภาพนิติบุคคล และมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เพื่อให้การบริหารจัดการสัญญาที่เกี่ยวกับปิโตรเลียมไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการพัสดุของส่วนราชการ หรือกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐและบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้ถือสิทธิทรัพยากรปิโตรเลียมแทนรัฐในการสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากปิโตรเลียม ควบคุมดูแลระบบการสำรวจและแสวงหาประโยชน์ในปิโตรเลียมทั้งหลาย และมีหน้าที่ในการบริหารสัญญาสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิตและสัญญาจ้างผลิต

การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม คณะ กมธ. เห็นสมควรที่จะดำเนินการเป็นสองระยะ ประกอบด้วย 1. ในระยะยาว เพื่อวางระบบให้เป็นที่ยอมรับทุกภาคส่วนและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน จึงควรศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศอื่นๆที่มีลักษณะของแหล่งปิโตรเลียม สภาพสังคม และสภาพเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกับประเทศไทย

2. ในระยะเร่งด่วน เพื่อให้การสำรวจปิโตรเลียมดำเนินการไปได้ในระหว่างที่มีการปรับปรุงกฎหมายทั้งฉบับ โดยจะเป็นต้องพิจารณาแก้ไขรายมาตรา แต่เฉพาะมาตราที่สำคัญเพื่อเปิดโอกาสให้มีการนำระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตและสัญญาจ้างบริการมาใช้บังคับได้ไปพลางก่อน และให้คณะกรรมการจากหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ในการบริหารสัญญาแบ่งปันและผลผลิตและสัญญาจ้างผลิตปิโตรเลียม และแก้ไขปัญหากรณีที่สัมปทานผลิตปิโตรเลียมจะหมดอายุลง

ส่วนการเปิดประมูลสำรวจปิโตรเลียมรอบ 21 คณะ กมธ .เห็นว่ามีความสำคัญเร่งด่วนต่อความมั่นคงทางพลังงาน แต่จากการศึกษาปัญหาการใช้กฎหมายปิโตรเลียม ทำให้มีความเห็นว่าการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมทีกระจายตัวในหลายพื้นที่ของประเทศซึ่งมีศักยภาพเชิงพาณิชย์สูงต่ำต่างกัน จึงควรมีระบบในการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม ที่เปิดกว้างสอดคล้องกับศักยภาพนั้น จึงต้องแก้ไขกฎหมายจากเดิมที่ระบุว่า “กำหนดให้ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ และผู้ใดจะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต้องได้รับสัมปทาน” โดยการบัญญัติเพิ่มเติมให้มีรูปแบบอื่นนอกจากสัมปทานด้วย

การที่รัฐบาลจะใช้ระบบสัมปทานไปก่อน โดยมีข้อตกลงในสัญญาสัมปทานว่ารัฐสามารถทำความตกลงในการเปลี่ยนแปลงระบบเบ่งปันผลผลิตได้ภายหลังนั้น มีข้อควรระวัง คือ อาจทำให้เสียบรรยากาศการลงทุน เพราะเอกชนเกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง โดยอาจทำให้การคำนวณต้นทุนไม่ชัดเจน ดังนั้น จึงควรชะลอการเปิดสัมปทานไปจนกว่าจะมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบธุรกรรมที่ยังไม่บัญญัตินี้ให้เรียบร้อยก่อนทำสัญญา

ถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วนต้องเปิดประมูลแปลงปิโตรเลียมเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในด้านพลังงานของประเทศ คณะ กมธ. เห็นควรให้ทำการเปิดประมูลในระบบแบ่งปันผลผลิตคราวละ 4 - 5 แปลง ในแปลงที่มีข้อมูลมากพอสำหรับผู้เข้าร่วมประมูล เพื่อให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและรัฐได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงขึ้น หรือดำเนินการสำรวจในเบื้องต้นในแปลงที่มีศักยภาพสูง โดยเป็นการ สำรวจเพื่อความมั่นคง ซึงอาจมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่มีขีดความสามารถและประสบการณ์ร่วมกับกรมพลังงานเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นผู้ดำเนินการ

ขณะที่ ปัญหาความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อผู้บริหารภาคพลังงานนั้น รัฐต้องดำเนินการตามนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 87 โดยกำหนดให้คณะกรรมการปิโตรเลียมมีสัดส่วนของตัวแทนภาคประชาชนเข้าร่วมในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยแก้ไขเพิ่มเติมความในหมวด 2 คณะกรรมการปิโตรเลียม มาตรา 15 ของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 นอกจากนี้ควรแก้ไขมาตรา 76 ของ พ.ร.บ. ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เรื่องเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ความไม่ไว้วางใจของประชาชนมาจากการเข้าถึงข้อมูลได้ยาก ประกอบกับความสามารถของรัฐในการสื่อสาร ทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียศรัทธาไปอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรให้มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว และต้องนำเสนอข้อมูลบนพื้นฐานความต้องการของประชาชน และตอบคำถามของประชาชนอย่างตรงประเด็นที่แสดงถึงประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการรับรู้ข้อมูลของประชาชน เพื่อฟื้นฟูความไว้วางใจของประชาชนต่อรัฐ


กำลังโหลดความคิดเห็น