รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ อ้างตัวเลข สศก. ไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยโต 3% ค่อยๆ ฟื้นอย่างต่อเนื่อง บอกถึงติดลบก็มีลงทุนภาครัฐ ท่องเที่ยว และบริการ โทษส่งออกติดลบ เพราะค่าแรง 300 บาทรัฐบาลที่แล้วทำแข่งขันยาก เปรยไม่ได้ทับถมใคร วางแนวทางทุบเงินบาทให้อ่อนลง ปั้มสินค้าเทคโนโลยีสูงมาขาย ปฏิรูปภาษี แก้ปัญหาเศรษฐกิจดิจิตอล โวทำได้ไทยโตเป็น 5%
วันนี้ (4 มิ.ย.) ที่รัฐสภา ความคืบหน้าการสัมมนาร่วมกันระหว่างคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อรับฟังการดำเนินงานที่ผ่านของรัฐบาลในรอบ 1 ปี โดยมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ปี 2557 ไตรมาสที่ 1 ติดลบ 0.4 เปอร์เซ็นต์ ไตรมาสที่ 2 บวก 0.9 เปอร์เซ็นต์ ไตรมาสที่ 3 บวก 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารงาน และเมื่อรัฐบาลเขามาบริหารพบว่าไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจของประเทศเติบโตเพิ่ม 2.1 เปอร์เซ็นต์ กระทั่งไตรมาสแรกของปี 2558 เศรษฐกิจเติบโตเพิ่ม 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้รับการยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศก็ค่อยๆ ฟื้นอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าการส่งออกจะติดลบ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ก็มีตัวช่วยคือ การลงทุนจากภาครัฐ การท่องเที่ยว และบริการ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศยังเป็นบวก ทั้งนี้ ในส่วนของการส่งออกที่ติดลบนั้น เป็นการติดลบอยู่แล้วตั้งแต่ 4 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากนโยบายค่าแรง 300 บาท ของรัฐบาลที่แล้ว ทำให้สูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน
“ผมไม่ได้ทับถมใคร แต่ใครทำนโยบายไม่ดีไว้ก็น่าจะบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์” ม.ร.ว.ปรีดียาธร กล่าว และว่า การแก้ปัญหารัฐบาลชุดนี้ได้วางแนวทางแก้ไขปัญหา 3 ฐานเศรษฐกิจ ฐานเศรษฐกิจแรกคือปรับปรุงอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยในระยะสั้นต้องปรับค่าเงินบาทให้อ่อนตัวลง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปรับปรุงการค้าขายเงินตราต่างประเทศ ทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลงจาก 32.70 บาท เป็น 33.17 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวต่อว่า ขณะที่การแก้ปัญหาระยะยาวต้องทำในลักษณะการปฏิรูป โดยจำเป็นต้องส่งเสริมให้ผลิตสินค้าใหม่ออกมาขาย เป็นสินค้าที่ขายในตลาดโลกได้ ซึ่งควรเป็นสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูงที่อุตสาหกรรมไทยรองรับได้แล้ว แต่คู่แข่งยังรองรับไม่ได้ เช่น อาหารทางการแพทย์ อาหารคุณค่าสูง ชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง เน้นความปลอดภัย และประหยัดพลังงาน เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลได้มีการประกาศ และออกโรดแม็ปแล้ว ผลที่ได้รับถือว่าเร็วเกินคาด เฉพาะเดือน ม.ค. - พ.ค. ในกลุ่มสินค้าสายการผลิตใหม่ มีผู้มายื่นขอส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) แล้ว 127 ราย อนุมัติแล้ว 25 ราย ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้โครงการ Modern Industries จำนวน 197 โครงการ นอกจากนี้ ต้องมีการปรับฐานอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกใหม่เพิ่มขึ้นแทนที่ล้าสมัย ซึ่งภายใน 2 ปี - 2 ปีครึ่ง จะเห็นผลของโครงการ และถ้าบอกว่าทำเพื่อรัฐบาลหน้าก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นการทำเพื่อประเทศ
2. การปฏิรูปภาษี ซึ่งได้มีการประกาศใช้แล้ว โดยเฉพาะภาษีรายได้จากเงินปันผล กำไร การขายทรัพย์สิน ถ้าเอากำไรกลับมายังประเทศจะไม่ต้องเสียภาษี เพื่อให้นักอุตสาหกรรม หันกลับมาตั้งฐานการค้าในไทย ซึ่งได้อนุมัติไปแล้ว 31โครงการ และในอนาคตเชื่อว่าจะเป็นประเทศเทรดดิ้งเนชั่นได้ที่มีฐานอยู่ที่กรุงเทพฯ เหมือนในประเทศเกาหลี และสิงคโปร์ แต่นอกจากการปรับปรุงภาษี ยังต้องรองรับการก่อสร้างคมนาคม เพื่อเชื่อมโยงนักลงทุนตั้งศูนย์การค้า โดยกระทรวงคมนาคม ได้วางแผนเชื่อมโยงทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการสร้างทางหลวงแผ่นดินเพิ่ม การบูรณะทาง และการสร้างทางหลวงชนบทเพิ่ม ซึ่งจะทำให้การคมนาคมภายในประเทศ และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการสร้างรถไฟรางคู่ตลอดจนรถไฟความเร็วปานกลาง และรถไฟความเร็วสูง โดยจะมีการทำคู่สัญญาระหว่างไทย - จีน และไทย - ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีการเปิดประมูลตั้งแต่เดือน ส.ค. 58 - 59
3. ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจดิจิตอล ซึ่งไทยยังล้าหลัง และขาดโครงสร้างพื้นฐานบอร์ดแบรนด์แห่งชาติ จึงมีแผนพัฒนา อาทิ การวางโครงข่ายบอร์ดแบรนด์แห่งชาติ คาดว่าแล้วเสร็จปลายปี 2560 การตั้งศูนย์คลังข้อมูลขนาดใหญ่ ภายใน 2 ปี การเพิ่มเกตเวย์เป็น 10 เกต และระบบดิจิตอลแบงค์กิ้ง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดถือเป็น 3 ฐานหลักในการดำเนินการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยขณะนี้เสร็จแล้ว 2 ฐาน หากเสร็จ 3 ฐาน จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ และถ้าถึงวันนั้นพลังงานจะไม่เพียงพอ วันนี้จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องหาแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ ซึ่งตนจะรีบกลับไปดำเนินการให้ถูกใจทุกคน และเลือกแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อประเทศ