อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
ในโอกาสครบรอบ 1 ปีกรณี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในฐานะอดีต ผบ.ทบ. กระทำการรัฐประหารรัฐบาล (รักษาการ) “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เราไปย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้นนั้นกันอีกครั้ง ในฐานะเป็นอีก 1 หน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ทุกคนควรจดจำ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายงานพิเศษ : ย้อนรอย...รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 !!
หลังคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ ได้ชุมนุมยืดเยื้อข้ามปี เพื่อให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกจากรัฐบาลรักษาการ เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 แต่ไม่ยอมลาออก แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สิ้นสภาพการเป็นรัฐมนตรีพร้อมกับรัฐมนตรีอีก 9 คน จากกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) โดยมิชอบก็ตาม แต่รัฐบาลรักษาการในขณะนั้นซึ่งเปรียบเสมือนรัฐบาลไร้หัว เพราะไม่มีนายกฯ รักษาการแล้ว มีเพียงนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรองนายกฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ และรัฐมนตรีรักษาการที่เหลืออีกบางส่วน ก็ไม่ยอมลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งตามการเรียกร้องของผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. ขณะที่ กปปส.ก็ถูกมือมืดลอบยิงระเบิดเอ็ม 79 และกราดยิงเอ็ม 16 เข้าใส่หลายครั้งหลายสถานที่ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ต้องออกแถลงการณ์เตือนกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงว่า หากยังไม่หยุดใช้อาวุธสงครามต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทหารอาจจำเป็นต้องออกมาระงับเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหลายฝ่ายเริ่มตีความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะทำรัฐประหารหรือไม่ ขณะที่ฟากวุฒิสภา มีแนวคิดเสนอนายกฯ และ ครม.คนกลางเพื่อให้เกิดการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง โดยตัวแทนวุฒิสภาได้หารือกับนายนิวัฒน์ธำรง ในฐานะปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2557 เพื่อขอให้ลาออก เปิดทางให้มีนายกฯ และ ครม.คนกลาง แต่ไม่สำเร็จ เพราะรัฐมนตรีที่เหลือยืนยันไม่ลาออก ขณะที่วุฒิสภาเล็งเดินหน้าเสนอนายกฯ คนกลางต่อไป ท่ามกลางความไม่พอใจของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดย นปช.ขู่จะชุมนุม หากวุฒิสภาเสนอนายกฯ ตามมาตรา 7 ขณะที่กลุ่ม กปปส.สนับสนุนให้นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธานวุฒิสภา เสนอนายกฯ คนกลาง แต่ กปปส.จะไม่รอวุฒิสภา โดยนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 23-25 พ.ค. หากไม่ชนะ จะสลายการชุมนุมและมอบตัวในวันที่ 27 พ.ค.
ปรากฏว่า กลางดึกคืนเดียวกัน (19 พ.ค.) ล่วงเข้าวันที่ 20 พ.ค. เวลา 03.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีผู้ชุมนุมหลายกลุ่มทั่วประเทศ รวมทั้งกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ใช้อาวุธสงครามทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มจะเกิดเหตุการณ์จลาจลอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่
หลังประกาศกฎอัยการศึกได้ 1 วัน (21 พ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.) ได้เชิญตัวแทน 7 ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมืองมาประชุมเพื่อหาทางออกประเทศที่สโมสรทหารบก ประกอบด้วย 1. ผู้แทนรัฐบาล 2. ผู้แทนวุฒิสภา 3. ผู้แทนพรรคเพื่อไทย 4. ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ 5. ผู้แทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 6. ผู้แทน กปปส. และ 7. ผู้แทน นปช. อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เนื่องจากแต่ละฝ่ายยังยืนอยู่ในจุดเดิมของตนเอง พล.อ.ประยุทธ์จึงให้การบ้าน 5 ข้อ ให้แต่ละฝ่ายกลับไปคิด ก่อนมาประชุมรอบสองในวันรุ่งขึ้น (22 พ.ค.)
แต่หลังประชุมรอบสองแล้วก็ยังหาจุดร่วมที่ตรงกันไม่ได้อีก เพราะแต่ละฝ่ายยังคงนำเสนอแนวทางในมุมมองของตัวเองเหมือนเดิม พล.อ.ประยุทธ์จึงถามนายชัยเกษม นิติสิริ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่มาประชุมในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายรัฐบาลว่า ตกลงรัฐบาลยืนยันไม่ลาออกใช่หรือไม่ ซึ่งนายชัยเกษม ตอบว่า นาทีนี้ไม่ลาออก พล.อ.ประยุทธ์จึงบอกว่า “ถ้างั้นตั้งแต่นาทีนี้ ผมตัดสินใจยึดอำนาจการปกครอง”
หลังจากนั้น ช่วงเย็นวันเดียวกัน (22 พ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยบิ๊กเหล่าทัพ ประกอบด้วย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.),พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.), พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.สส.) และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรื่อง การควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ โดยให้เหตุผลที่ยึดอำนาจครั้งนี้ว่า เนื่องจากได้เกิดความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุการณ์มีแนวโน้มขยายตัว จนอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และประชาชนในชาติเกิดความรัก สามัคคี ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทุกฝ่าย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 เวลา 16.30 น.เป็นต้นไป
หลัง คสช.นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศยึดอำนาจการปกครอง คสช.ได้ออกประกาศแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้า คสช., พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ, พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ, พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองหัวหน้า คสช. และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นเลขาธิการ คสช.
ทั้งนี้ คสช.ได้ออกประกาศต่างๆ ตามมา ได้แก่ ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และออกประกาศห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 22.00-05.00 น.วันที่ 22 พ.ค.เป็นต้นไป เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 และให้สถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีโทรทัศน์ และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทุกแห่ง งดรายการปกติของทางสถานี และถ่ายทอดรายการจากสถานีโทรทัศน์กองทัพบก อย่างไรก็ตาม ภายหลังเมื่อวันที่ 24 พ.ค. คสช.ได้อนุญาตให้ทีวีและวิทยุออกอากาศได้ตามปกติแล้ว ยกเว้นทีวีดาวเทียม 14 สถานีและวิทยุชุมชนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย โดยอ้างว่า ทีวีทั้ง 14 สถานี ยังออกอากาศข่าวที่มีลักษณะโน้มเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ส่วนสื่อออนไลน์และสื่อสิ่งพิมพ์ ห้ามปลุกระดมหรือนำเสนอข่าวสารที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติหรือวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช. ฯลฯ สำหรับทีวีดาวเทียม 14 สถานีดังกล่าว มีเอเอสทีวีรวมอยู่ด้วย รวมทั้งทั้งทีวีเสื้อแดงอย่าง เอเชียอัพเดต ,วอยซ์ทีวี และทีวีที่ถูกมองว่าเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ อย่าง บลูสกาย ซึ่งให้หลังประมาณ 3 เดือน ทีวีเหล่านี้ก็ทยอยได้รับอนุญาตให้ออกอากาศได้อีกครั้ง โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ คสช.กำหนดอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ คสช.ยังได้ออกประกาศให้รัฐธรรมนูญ 2550 สิ้นสุดลงชั่วคราว ยกเว้นหมวด 2 พระมหากษัตริย์ รวมทั้งให้คณะรัฐมนตรีรักษาการสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ โดยให้อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นอำนาจหน้าที่ของหัวหน้า คสช. ให้วุฒิสภาสิ้นสุดลงเช่นกัน พร้อมประกาศว่า กรณีที่มีเรื่องใดต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของหัวหน้า คสช.ในการให้ความเห็นชอบแทน
หลังจากนั้น คสช.ยังได้ออกประกาศห้ามชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไป และให้ผู้ชุมนุมทุกกลุ่มยุติการชุมนุม รวมทั้งให้บุคคลต่างๆ เข้ารายงานตัว ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรี รวมทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นักการเมืองพรรคต่างๆ นักวิชาการ แกนนำและแนวร่วมกลุ่ม นปช.-กปปส. รวมกว่า 150 คน ซึ่งบุคคลต่างๆ ที่เข้ารายงานตัว คสช.จะพิจารณาเป็นกรณีไปว่าใครจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อใด และใครจะถูกควบคุมตัวไว้ก่อน แต่จะควบคุมตัวไว้ไม่เกิน 7 วัน
แต่ก็มีหลายคนที่ คสช.ออกประกาศเรียกให้ไปรายงานตัว แล้วไม่ไป เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยนายจารุพงศ์ ได้โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กมีข้อความเขียนด้วยลายมือว่า “...ผมไม่ยอมไปรายงานตัวกับพวกกบฏ เพราะผมเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยประชาชนแต่งตั้งมา ผมตั้งใจต่อต้านกบฎทุกรูปแบบกับพลังประชาชนเสรีไทย ผมปลอดภัยดี ผมหลบอยู่ในภาคอีสานครับ...” ด้าน คสช.ได้ออกคำสั่งให้สถาบันการเงินระงับการทำธุรกรรมทางการเงินของนายจารุพงศ์ รวมทั้งให้สถาบันการเงิน และนิติบุคคล ส่งข้อมูลการทำธุรกรรมการเงินย้อนหลังของนายจารุพงศ์ระหว่างวันที่ 1 มี.ค. - 24 พ.ค. 2557 ให้ คสช.ด้วย
ทั้งนี้ หลัง คสช.ทำการรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้มีปฏิบัติการกวาดล้างอาวุธสงครามเป็นการใหญ่ โดยมีการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมอาวุธสงครามได้จำนวนมากในหลายจังหวัด ซึ่งหลายกรณีมีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม นปช.และคนเสื้อแดง เช่น เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ทหารสามารถจับกุมแกนนำกลุ่มผู้ไม่หวังดีเตรียมก่อเหตุในพื้นที่ จ.ขอนแก่น โดยได้ผู้ต้องหา 23 คน เป็นชาย 22 คน และหญิง 1 คน พร้อมของกลางจำนวนมาก ทั้งระเบิดขว้าง ระเบิดปิงปอง ระเบิดควัน และมีบัตร “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” 2 ใบ, ผ้าพันคอสีแดง 300 ผืน, เอกสารแผนภูมิวางระเบิดในภาคใต้, แผนผังทำวงจรระเบิดในเขตพื้นที่ จ.ขอนแก่น, ภาพฝึกอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) ของคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังมีหนังสือระบุการทำงานของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินด้วย
ด้าน พล.ต.ธวัช สุกปลั่ง รองแม่ทัพภาคที่ 2 เผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้รับแจ้งว่าจะมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีออกปฏิบัติการในลักษณะกวนเมืองขอนแก่น ชื่อกลุ่ม “ขอนแก่นโมเดล” โดยจะใช้วิธีก่อกวนทั้งเมือง เพื่อให้เกิดจลาจลขึ้น หลังสืบทราบว่ากลุ่มดังกล่าวพักอยู่ใน “ชลพฤกษ์อพาร์ตเมนต์” จึงได้เข้าตรวจค้นจับกุม โดยผู้ต้องหาสารภาพว่า ได้รับคำสั่งจากแกนนำ นปช. ให้ก่อเหตุในพื้นที่ จ.ขอนแก่น เพื่อเป็น “ขอนแก่นโมเดล"
นอกจากการกวาดล้างจับกุมผู้ต้องหาพร้อมอาวุธสงครามแล้ว คสช.ยังได้ออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ หลายตำแหน่ง เช่น ให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยยังคงเป็นรองหัวหน้า คสช. และให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ ฯลฯ
ต่อมา วันที่ 26 พ.ค. ได้มีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่หอประชุมกิตติขจร กองบัญชาการกองทัพบก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ, พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองหัวหน้า คสช.
ทั้งนี้ พระบรมราชโองการฯ มีใจความสำคัญสรุปว่า ด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้นำความกราบบังคมทูลว่า เนื่องจากได้เกิดสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ กทม. และพื้นที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มขยายตัวจนอาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรงหรือเหตุจลาจล ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ให้ประชาชนในชาติเกิดความรัก สามัคคี ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองและอื่นๆ อันจะก่อให้เกิดความชอบธรรมกับทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย คณะทหารและตำรวจ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า จึงได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 เวลา 16.30 น.เป็นต้นไป
หลังรับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนพร้อมถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ได้ตั้งไว้ และว่า บ้านเมืองมีปัญหา จะต้องยุติปัญหาให้ได้ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติไม่ได้มุ่งหวังเข้าสู่อำนาจหรือมีประโยชน์ พร้อมยืนยัน “การใช้อำนาจต้องระมัดระวัง การมีอำนาจมาก ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง อย่าคิดว่าตัวเองมีอำนาจแล้วจะทำได้ทุกอย่าง ไม่เคยคิดอย่างนั้น”
พล.อ.ประยุทธ์ยังเผยโรดแมปของ คสช.ด้วยว่า แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 เร่งสร้างความปรองดองสมานฉันท์ในเวลา 2-3 เดือน จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ เพื่อปฏิรูปทั้งส่วนกลางและในระดับพื้นที่ โดยมอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นผู้ดำเนินการ ระยะที่ 2 การใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว จะมีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) การสรรหานายกรัฐมนตรี และการตั้งคณะรัฐมนตรี เพื่อบริหารประเทศ รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และการจัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ทุกฝ่ายยอมรับ โดยอาจใช้เวลา 1 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เมื่อการปฏิรูปสำเร็จ สมานฉันท์กันทุกฝ่าย มีความสามัคคีกันภายในชาติ ก็จะดำเนินการในระยะที่ 3 คือ เลือกตั้งตามประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายพอใจ กฎระเบียบต่างๆ ได้รับการแก้ไข ได้คนดี สุจริต มีคุณธรรมมาปกครองบ้านเมืองด้วยหลักธรรมาภิบาล แต่สิ่งต่างๆ ดังกล่าวคงไม่สำเร็จโดยง่ายหากยังมีความไม่สงบเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในโอกาสครบ 1 ปีของ คสช. ในวันที่ 22 พ.ค. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวขอบคุณทุกคนที่เข้าใจสถานการณ์ของประเทศชาติ ยกเว้นบางคนบางพวกที่ไม่เข้าใจ ให้ไปพิจารณากันเอาเองว่าควรจะทำอย่างไรกันต่อไป และว่า สิ่งสำคัญวันนี้คือการรักษาความสงบเรียบร้อย เดินหน้าประเทศ แก้ปัญหาที่มีความเร่งด่วน จัดการบริหารระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน หรือรั่วไหล ซึ่งประชาชนต้องเป็นคนประเมินให้ตน ส่วนตัวแล้วพอใจทุกด้าน แต่ไม่ใช่ความภาคภูมิใจ จุดที่ไม่ภาคภูมิใจ ก็คือ ทำไมต้องให้ตนมาอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่ทำกัน เลือกตั้งกันมาไม่ใช่หรือ!?