เวทีเสวนาสถาบันปฏิรูปประเทศไทย “สังศิต” ติงรัฐธรรมนูญปี 40–50 ทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภา เผยรัฐธรรมนูญใหม่แยก ป.ป.ช. ออกจากสำนักงานให้ดูสำนวน วินิจฉัยและให้คำแนะนำ เพื่อลดการแทรกแซง ด้าน “วิทยากร” ชี้ประชาธิปไตยไทยถูกทุนนิยม ที่เป็นบริวารนายทุนครอบงำ แนะเปิดทางให้ประชาชนถอดถอนนักการเมือง
วันนี้ (10 พ.ค.) ที่มหาวิทยาลัยรังสิต สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) ได้จัดเสวนาและปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “การปฏิรูปในทรรศนะของข้าพเจ้า” โดยมี นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ นายวิทยากร เชียงกูล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้เข้าร่วมอบรมภายใต้หลักสูตร “ผู้นำธรรมาธิปไตย” รุ่นที่ 1 เข้าร่วมงาน
ทั้งนี้ นายสังศิต กล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ถือเป็นการต่อสู้ของภาคประชาชน หรือภาคประชาสังคม ตนในฐานะที่เคยผ่านเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 เปรียบเสมือนการมอบคบไฟจากรุ่นสู่รุ่น ที่เป็นการคาดหวังของสังคม ในยุคนั้นสิ่งที่เรามองประชาธิปไตย เป็นเพียงแค่การเลือกตั้ง และการมีรัฐธรรมนูญเป็นพอ และนำมาสู่การเรียกร้องเดินขบวนของนักศึกษา การถูกขับไล่เข้าป่า และกลับออกมาภายหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ซึ่งความจริงนั้นมีหลากหลายที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ประชาธิปไตยก็เช่นกัน
นายสังศิต กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 คือ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศ ออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลมีความเข้มแข็ง พรรคการเมืองเข้มแข็ง ทำให้แต่ละกลุ่มมักสร้างความจริงของประชาธิปไตยกันขึ้นมา มีการต่อสู้ขับเคี่ยวกัน นำมาซึ่งเผด็จการรัฐสภา ไม่ฟังใคร รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ส่วนรัฐธรรมนูญปี 2550 หลังการรัฐประหารปี 2549 ก็มีความพยายามสร้างองค์กรตรวจสอบภาครัฐทั้งหลายขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ ก็ยังไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก และผลที่ตามมาก็คือได้รัฐบาลจากพรรคเดียว ที่รวบคะแนนนิยมอย่างท้วมท้น
“โจทย์ใหญ่สำคัญของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ คือไม่ต้องการให้รัฐบาลเข้มแข็งมากเกินไป จนกลายเป็นการรวบอำนาจ จึงไปศึกษาแนวคิดการบริหารบ้านเมืองจากประเทศเยอรมนี เพื่อมาปรับใช้ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชน ทั้งสภาพลเมือง และสมัชชาคุณธรรม ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลโดยประชาชน คือ มีความต้องการให้ภาคพลเมืองเป็นใหญ่ ถึงอย่างไรข้อสรุปนี้คงต้องมีการถกเถียงกันต่อไป” นายสังศิต กล่าว
นายสังศิต กล่าวว่า สิ่งที่ตนเคยเสนอ และคิดว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ การแยกอำนาจกรรมการบริหาร ออกจากฝ่ายสำนักงานประจำของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้กรรมการมีอำนาจแค่วินิจฉัย ดูสำนวน หรือให้คำแนะนำ เพื่อลดการแทรกแซง และแบ่งอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจน รวมทั้งการผลักดันให้เกิดศาลคดีทุจริต และการบริหารการปกครองท้องถิ่นที่ยังมีคดีค้างคาอยู่มาก ก็ควรที่จะมีศาลเฉพาะทางขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ตนอยากเห็นทุกคนที่เป็นภาคประชาสังคม มีการเกาะกลุ่มผนึกกำลังกัน เพื่อทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ปราศจากการทุจริตทุกประเภท ทั้งในภาครัฐ และเอกชน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน สปท. ทุกคนก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งโอกาสนั้นไม่ง่าย เพราะอำนาจไม่ได้อยู่ในมือพวกเรา แต่ขอให้พยายามเต็มที่ แพ้ชนะไม่เป็นไร ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ถ้าไม่สำเร็จ ต้องเข้าใจสถานการณ์ และเดินหน้าต่อไป
ด้าน นายวิทยากร กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยเป็นระบบทุนนิยมแบบบริวารของนายทุน ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบที่ทั่วโลกใช้ แต่คนไทยยังไม่ได้มีการพัฒนาความคิดในด้าน อิสรภาพ และสิทธิเสรีภาพ กลับถูกครอบงำทางด้านประชาธิปไตย รับมาแค่เพียงรูปแบบ เช่น การเลือกตั้งผู้แทน แต่ไม่ได้มีการพัฒนาเนื้อหาสาระ ประกอบกับยังมีแนวคิดเก่าค้างอยู่ทั้งระบบอุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม จากระบบศักดินา มันเลยกลายเป็นอุปสรรค และเป็นการเปิดช่องทางให้นักการเมือง หรือนายทุน เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากแนวคิดดังกล่าว
“ผมคิดว่าการแก้ปัญหาคือ ต้องสร้างแนวคิดที่ก้าวหน้าทั้ง สิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยที่มีความเป็นธรรมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม หรือธรรมาธิปไตย รวมถึงสร้างสังคมนิยมแห่งประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ถอดถอนนักการเมือง คิดในเชิงปฏิรูป มีการกระจายอำนาจ และทรัพยากรลงไปยังท้องถิ่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อนายทุน หรือนักการเมืองและต้องใส่ใจในระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย” นายวิทยากร กล่าว