“ประยุทธ์” บอกรู้ทุกเรื่อง เผย ครม.- สปช.- คสช. และตน ทำความเห็นร่าง รธน. แล้ว แย้มมีข้อเสนอแนะทุกอัน แต่โยน กมธ. ยกร่างฯ แก้หรือไม่ โวยพวก รมต. เก่าๆ เขียนไม่สร้างสรรค์ จวกไม่เคยรับความผิดตัวเอง สวดอ่านหนังสือกันไม่เข้าใจหรือ ยันนายกฯ คนนอกไม่ได้หมายว่าจะสืบทอดอำนาจ งงจะเร่งอะไรกันหนักหนา สับนักวิชาการสอนสิทธิเสรีภาพแต่ลืมสอนหน้าที่ ลั่นต้องแรงกับมนุษย์บางคน ย้ำทำแต่เรื่องย่อยเพราะบานปลายสู่เรื่องใหญ่ทั้งสิ้น ไม่ห่วงลงหลังเสือลำบาก รับไปไหนต้องแบกหน้าไปขอไปขายต่างชาติ
วันนี้ (28 เม.ย.) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 เมื่อเวลา 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สปช.) ว่า ตนคงไม่ต้องรับรายงาน สามาดรถดูเองได้ เพราะตนอ่านและติดตามทุกเรื่อง ร้อยพันเรื่องต้องดูหมด ทั้งการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ เป็นนายกรัฐมนตรีต้องรู้ทุกเรื่อง ถ้าไม่รู้ทุกเรื่อง ก็ไม่ต้องเป็นนายกฯ ดังนั้นไม่ต้องรอรายงานก็ได้ ซึ่งตนสามารถนั่งวิเคราะห์เองได้ และหารือในคณะรัฐมนตรีร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องว่า เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งแล้วแต่เขา ที่สามารถคิดได้ ตนจะไปควบคุมความคิดทุกอันคงไม่ได้ พอมีเรื่องมา ก็มาบอกว่าทำไมไม่จัดการ พอไม่มีเรื่องก็ด่า ตนไม่เข้าใจมนุษย์
“ฉะนั้น ทั้งหมดเป็นไปตามรัฐธรรมนูญอย่างเดียว คุณไปหามาว่า เขาเขียนอย่างไร เป็นไปตามนั้น จะดีไม่ดี ไม่รู้ เดี๋ยวทำข้อพิจารณาขึ้นไป โดย ครม. จะสรุปมา ซึ่ง ครม. มีหลายคนจะประชุมร่วมกัน เพื่อหาข้อสรุปเป็นเรื่องๆ ไป กี่หมวด กี่มาตรา ตรงไหนควรจะแก้หรือไม่ ขณะที่ สปช. ก็ทำของเขา ผมก็ทำของผม คสช. ก็ของ คสช. ครม. ก็อีก ทำสามแท่งเข้าไป โดยส่งไปที่คณะกรรมาธิการยกร่างฯ เขาจะแก้หรือไม่ เป็นอำนาจของเขา” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามที่บอกว่าได้วิเคราะห์เองนั้น ขณะนี้มองสถานการณ์อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ที่มองอยากถามว่า สถานการณ์บ้านเมืองปกติหรือไม่ ถ้าไม่ปกติ แล้วท่านอยากให้ปกติหรือไม่ อยากให้ยั่งยืน อยากให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือไม่ หรืออยากจะให้เป็นแบบเดิม ตรงนี้ขอถามประชาชนทั้งประเทศ วันนี้ตั้งใจจะอารมณ์ดี แต่พอหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน หนังสืออะไรก็ไม่รู้ พวกอดีตรัฐมนตรีเก่าๆ ทำนองนี้ เขียนหนังสือพิมพ์อยู่ มันได้ยังไง เขียนออกมาไม่สร้างสรรค์สักเรื่อง ไม่เคยรับความผิดความบกพร่องของตัวเองเลย เดี๋ยวคอยดูกันต่อไป ว่ากันไป สอบสวนกระบวนความเกี่ยวข้องกับใครก็ว่าหมด ประเด็นสำคัญคือ ถ้าคิดว่าบ้านเมือง ไม่ปกติอยากให้บ้านเมืองมั่นคงยั่งยืน ไม่มีการใช้ความรุนแรงกันแบบเดิม ไม่มีการทุจริตผิดกฎหมาย ไม่มีการละเมิดสิทธิผู้อื่น ก็น่าจะต้องมีมาตรการอะไรขึ้นมาสักอย่าง และการที่จะทำให้รัฐบาลมาอย่างไร ทำอย่างไรจะให้ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล
“ผมบอกแล้วให้ไปคิดกันมา จะมีมาตรการอะไรกันบ้างผมไม่รู้ เพราะผมไม่เคยทำหน้าที่นี้ และไม่เคยคัดสรรใครเข้ามาด้วย ผมดูแต่ทหาร ฉะนั้น ท่านต้องไปคิดมาท่านเป็นนักกฎหมาย เป็นกรรมาธิการ ไปร่างไปคิดมา ถ้าคิดว่าอันนี้ดี แล้วคนยอมรับได้ ได้รัฐบาลมาก็เป็นไปตามนั้น ต่อไปเป็นเรื่องควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การตรวจสอบความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน จะตัดต่อตรงไหนให้ทำได้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอย่างครั้งที่แล้ว ส่วนเรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี อย่าไปกังวลว่าผมคือนายกรัฐมนตรีตรงนั้น มันไม่ใช่ คนละเรื่องกัน ตรงนี้ไม่ใช่ว่าผมเห็นด้วยไม่เห็นด้วย แต่อย่ามาพูดกันตรงนั้น จากที่ผมฟังมา เขาบอกว่าถ้าเหตุการณ์ไม่ปกติ จะเอานายกฯมาจากไหน แต่กลายเป็นว่ามันจะเป็นการสืบทอดอำนาจ มันอะไรกัน ไม่เข้าใจ อ่านหนังสือกันไม่เข้าใจหรืออย่างไร เขาเขียนไว้หรือเปล่าว่ามาตอนไหน หรือวิเคราะห์วิจารณ์ฝันมโนกันไปเรื่อยทุกวัน อ่านหนังสือภาษาไทยไม่ออก แสดงว่าการศึกษาไทย ใช้ไม่ได้ อ่านหนังสือไทยไม่รู้เรื่อง โตๆ กันแล้วจะว่ายังไงก็ว่ามา จะเอาใครมาบังคับบัญชาปกครองบริหารก็ไปหามา ยังไม่เรื่องของผม หน้าที่ของผมตอนนี้คือ ดูแลความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงปลอดภัย ก็ดำเนินการกันไป หน้าที่ใครหน้าที่มัน อย่าให้มีเรื่อง อย่าให้ประชาชนเดือดร้อน ผมตอนนี้มีเท่านั้น แก้ไขสถานการณ์ตามที่เกิดขึ้น” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่ คสช. และ ครม. จะต้องมีควาเห็นไปคราวเดียวกัน นายกฯ กล่าวว่า คงจะคนละส่วน ครม.มี 36 คน ส่วน คสช. มี 7 คน คงมีความเห็นไม่ตรงกัน แม้ตนจะเป็นหัวหน้าก็จริง คงไม่จำเป็นต้องมีความเห็นเหมือนกัน อาจจะเหมือนกันบางข้อ คิดไม่ตรงกันบางข้อก็แล้วแต่ ขณะที่รัฐมนตรีทั้ง 36 คน ต้องไปคุยกับข้าราชการ ตนได้ให้นโยบายไปอย่างนั้น ไม่ใช่ 36 คน คิดกันเองหรือ คสช. คิดเอง เขาต้องไปหาข้อมูล ซาวเสียงตรงนู้นตรงนี้มาและสรุปรวมมา นั่นแหละคือการคิดทำงานเป็น ไม่ใช่ทำงานคนเดียวหรือสั่งโครมๆๆ สั่งเช้าเอาบ่าย สั่งบ่ายเอาเย็น ไม่ใช่ มันไม่ได้ จะแก้ไขบ้านเมืองไม่ได้เลยทั้งสิ้น และด้วยเวลา ที่มากดดัน มันทำไม่ได้ ยิ่งจะรวนไปกันใหญ่ ต้องให้ทุกอย่างเคลื่อนที่ไปตามกาลเวลาและวันนี้ยังไม่เกินเวลาโรดแมป จะเร่งอะไรกันนักหนา ให้เขาเดินไปตามนั้น เดินไม่ได้ค่อยว่ากัน
เมื่อถามว่า จากการติดตามการอภิปรายของ สปช. ในร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมการธิการยกร่างฯได้ยกร่างฯมานั้น มีประเด็นใดที่คิดว่าต้องมีข้อเสนอแนะปรับแก้บ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็มีทุกอัน ซึ่งตนจะถามกลับไปว่าอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร จะทำเพื่ออะไร สิ่งสำคัญจะถามไปว่าวันนี้ประเทศไทยต้องเดินหน้า โดยถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประชาชนได้ประโยชน์อะไร ประชาชนต้องรู้จักสิทธิ์และหน้าที่อย่างไร พูดอย่าให้มันตกหล่น บางคนที่ออกมาวิจารณ์ เห็นว่า บางอย่างต้องให้ความเป็นธรรม ต้องให้เกียรติกรรมาธิการยกร่างบ้าง ที่พยามร่าง ทำทุกอย่างให้บ้านเมืองสงบปลอดภัย บางทีก็ถูกมองว่า เพื่อจะสืบทอดอำนาจ จะได้ผลประโยชน์ ถ้าอย่างนี้ใครก็ร่างไม่ได้ เพราะไม่ไว้วางใจ แต่ลืมกันไปว่า เคยเกิดอะไรขึ้นมา แล้วจะทำอย่าไรให้มันไม่เกิดอีก นั่นแหละประเด็นสำคัญ มีหลายๆคนเขียนอะไรมาไม่รู้ แถมยังเป็นครู เป็นอาจารย์ เขียนว่า รัฐธรรมนูญมาตราที่ควรจะขึ้นก่อนคือเรื่องสิทธิเสรีภาพ ไม่ควรเอาหน้าที่เรื่องพลเมืองขึ้นมาก่อน ดูสิมันสอนแบบนี้ หรือประเทศไทย ไม่ต้องมีกฎหมาย ซึ่งกฎหมายเขียนออกมาดีทุกอัน ปัญหาจะทำกันหรือไม่ จะบังคับใช้มั้ย รัฐบาลที่ได้มาจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมหรือไม่ ไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ ที่ผ่านมาเป็นร้อยๆ เรื่อง ทำไมการสอบสวนไม่จบ ทำไมไม่ออก เขาให้ความสนใจแค่ไหน รัฐบาลต่อไปต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องทำทุกเรื่องให้ปรากฏ จะผิดจะถูกหรือจะข้างใด ไม่รู้ ทำให้มันชัดเจนขึ้น ก็จบ จะได้ไม่ทะเลาะกัน แต่นี่ทุกคนทำงานไม่ได้ ข้าราชการก็ทำงานไม่ได้กลัว ขณะที่การตรวจสอบก็กลัวอีก แล้วจะให้อยู่กันอย่างไร ประเทศไทย ตนไม่เข้าใจ ขอให้ช่วยกัน สื่อจะช่วยได้เยอะ
“บางครั้งรู้สึกไม่ดี ปัญหามันเยอะทั้งปัญหาต้องทำงาน ปัญหาความไม่เข้าใจ มนุษย์บางคน คิดว่ามันไม่ใช่คนไทย เสียชาติเกิดนะพวกนี้ ผมต้องแรงกับเขา เพราะเขาแรงกับผม ถ้าไม่ยุ่งกับผม ผมก็ไม่ยุ่งกับเขา กฎหมายก็ว่าไปแค่นั้นเอง แต่มันยังไม่เลิกไม่หยุด จะให้ผมทำอย่างไร ผมต้องปกป้องคนของผม ปกป้องรัฐบาล ข้าราชการ เขาทำงานกันโครมๆ ทหารทำทั้งจดทะเบียนเรือ ดูแลการจ่ายเงินจำนำข้าว ดูแลบัตรประชาชนใหม่ เพราะตามกลไกมีทหารทุกพื้นที่ แต่ไม่มีอำนาจ จึงต้องมีความจำเป็นให้ทหารเข้าไปช่วยทำงาน หากให้พลเรือนทำไม่มีจบ เพราะพลเรือนไม่เหมือนทหาร สั่งไปแล้วก็รอเวลา แต่ทหารไม่ได้ ภารกิจต้องจบภายในเวลาที่กำหนด ในกี่วันกี่เดือน เพราะหลายภารกิจต้องทำต่อเนื่องหลายๆ อัน” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ต้องคิดแบบทหาร เพราะปัญหาเยอะ ตนเคยคิดจะเลือกทำไม่กี่อย่าง แต่พอมาแล้วไปไม่ได้สักอัน ประเทศไทยไม่ได้มีแค่เรื่องการเมือง หรือแค่แก้รัฐธรรมนูญ ทุกวันนี้ตนต้องแก้หมดทุกเรื่อง ทั้งความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความมั่นคง ป่าไม้ แล้วยังมาบอกว่า ทำไมไม่จัดระเบียบอะไรก่อนอะไรหลัง มาทำแต่เรื่องปลีกย่อย ทั้งนี้ ตนเห็นว่าเรื่องปลีกย่อยนี่แหละ ที่กลายเป็นปัญหาบายปลาย ไปสู่ปัญหาใหญ่ๆ ทั้งสิ้น เพราะปล่อยปละละเลย
เมื่อถามว่า นายกฯอยู่ในตำแหน่ง ยังถูกจ้องเล่นงาน หากวันหนึ่งที่ต้องลงจากตำแหน่ง ห่วงหรือไม่ว่าตัวเองจะถูกไล่บี้เช็กบิล พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า ขึ้นหลังเสือแล้วลงหลังเสือลำบากเหรอ ตนจะไปห่วงทำไม ถ้าห่วงก็ไม่เข้ามาทำหรอก ก็รู้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานระหว่างตอบคำถามดังกล่าวนั้น นายกฯได้ชี้ไปยังกลุ่มข้าราชการและทหารที่ยืนอยู่บริเวณใกล้ๆ ทั้งหมด พร้อมกับพูดว่า “เสี่ยงไหม ทุกคนที่อยู่เนี๊ยะ แล้วเขาได้อะไร ผมได้อะไร วันนี้ผมไม่ได้ห้ามอะไรใครจะว่าอะไรก็ว่า ไม่มีที่ไหนในโลก ท่านต้องภูมิใจ ไม่มีรัฐบาลที่มาลักษณะนี้แล้วเป็นแบบผม มีที่เดียวในโลกนี้ ที่ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ไม่จับกุมคุมขังนักการเมืองแบบร้ายแรง อย่างมากก็พูดคุยสามสี่วันก็ปล่อยกลับหมด เว้นแต่บ่อยๆ เข้าก็ต้องโดนบ้าง รู้อยู่ว่าผิด ยังทำ แค่นี้กฎหมายอื่นก็ละเมิดหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากให้เป็นตัวอย่าง หลายประเทศเขาดูอยู่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้การค้าขายเราดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้สตางค์ในวันนี้ มันยังไม่ได้หรอก แต่ตนกำลังเริ่มทั้งวันนี้และในอนาคต ซึ่งในวันนี้ไปไหนต้องแบกหน้าไปขอ และ ไปขายเขา พูดเป็นเรื่องเป็นราว เป็นตุเป็นตะ ว่าเรากำลังแก้ปัญหาอย่างนี้ อย่างนั้น เขาก็ดีใจบอกให้เรารักษาเสถียรภาพอย่างนี้ไว้ เขาจะทำมาค้าขายกับเราต่อไปทุกๆเรื่อง เพราะเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญ ประชาธิปไตยก็อีกเรื่องหนึ่ง ตนไม่ไปโต้แย้งอะไรอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า บอกว่าจะมีมาตรการเด็ดขาดอย่างไรกับฝ่ายที่ออกมา เคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ระบุว่าเตือนแล้วไม่หยุด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าคุยแล้วยังไม่หยุดก็ต้องใช้กฎหมายที่แรงและหนักขึ้นไป ซึ่งจริงๆแล้วกฎหมายมีแรงอยู่แล้ว แต่ตนไม่ได้ใช้เลย จริงๆ ถ้าผิด สามารถมาติดคุกได้ทันทีจะบอกให้ เมื่อถามว่า มีใครอยู่ในสายตาว่าจะต้องโดนกฎหมายแรงหรือยัง นายกฯกล่าวว่า ไม่รู้ ไม่มี ก็แล้วแต่เขา ถ้าเขาอยากก็ทำไป