ผ่าประเด็นร้อน
ต้องยอมรับกันว่าในยุคของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถสร้างความมั่นคงในบ้านเมืองได้ดี บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยเมื่อเปรียบเทียบกับในยุครัฐบาลก่อนหน้านานนับสองปีที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยการประท้วงก่อความวุ่นวาย หลายคนบอกว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย เพราะมาจากการเลือกตั้ง และประเทศตะวันตกที่นำโดยสหรัฐเมริกาก็ชื่นชอบแบบนั้น
แต่หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา และมีการใช้กฎเหล็กควบคุมอย่างเข้มงวดจนทำให้บ้านเมืองมีความสงบ ไม่มีความเคลื่อนไหวก่อกวนให้เห็นจนเป็นที่รำคาญ แน่นอนว่าผลที่ออกมาเป็นเพราะมีการบูรณาการอำนาจเชื่อมโยงกันอย่างเบ็ดเสร็จภายใต้การอำนวยการจากฝ่ายผู้นำรัฐบาล และ คสช.ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ส่งผ่านไปยัง “เบอร์สอง” คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ดูแลด้านความมั่นคงทั้งหมดชนิดที่เรียกว่า “ครบวงจร” ทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน และล่าสุด แม้ว่าจะยกเลิกกฎอัยการศึกแล้วหันมาบังคับใช้ “มาตรา 44” ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 โดยมีคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 3-4/2558 ตามมาให้อำนาจทหารเป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย มีอำนาจตรวจค้นจับกุมได้อย่างกว้างขวางไม่เปลี่ยนแปลง
ชนิดที่เรียกว่าไม่ว่าใครก็ไม่กล้าลองของ ไม่กล้ากระดิก เพราะในส่วนของ “เป้าหมาย” ล้วนประกบถึงตัวกันแบบครบถ้วนแล้ว
นั่นเป็นการอธิบายให้เห็นภาพในเรื่องของความมั่นคงที่รัฐบาลสามารถทำได้ดี ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังเคยแสดงความพอใจออกมาให้เห็น โดยเขาเห็นว่า “ความมั่นคง” ต้องมาก่อน หากประเทศมีความมั่นคงแล้ว เศรษฐกิจ-สังคมก็จะมีความมั่นคงตามมา
อย่างไรก็ดี เมื่อหันมามองในเรื่องเศรษฐกิจปากท้องเรื่องสำคัญประจำวันของชาวบ้านทั่วไป กลับพบว่านับวันยิ่งสวนทางออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องยอมรับว่าเมื่อสำรวจกันตามตลาดร้านค้ากันแบบบ้านๆ ที่สัมผัสกันได้จะพบว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่างพาเหรดขึ้นราคากันพรวดพราด ขณะที่ในด้านรายได้กลับชักหน้าไม่ถึงหลัง ที่เห็นได้ชัดก็คือราคาสอนค้าเกษตรทุกรายการ เช่น ข้าว ยางพารา หรือล่าสุดปาล์มน้ำมันที่ไม่น่าจะตกต่ำ แต่กลายเป็นว่าสต๊อกล้นตลาดราคาร่วงลงมาอีกราคาเือแค่กิโลกกรัมละบาทกว่าเท่านั้น
เมื่อราคาสินค้าสูง ราคาโดยสารรถประจำทาง ราคารถสองแถว มอเตอร์ไซค์รับจ้างต่างปรับขึ้นราคาทำให้รายจ่ายประจำวันของชาวบ้านสูงขึ้น ขณะที่รายได้หดหาย มันก็ถึงเป็นที่มาของหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นแบบพรวดพราด จนกระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ภาษี ยอมรับว่าคนไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า ร้อยละ 80 ของจีดีพี
ล่าสุด รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ก็ออกมายอมรับในระหว่างปาฐกถาพิเศษในหัวข้อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยภายใต้กระแสเศรษฐกิจโลก ที่จัดโดยสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ เมื่อวันพุธที่ 8 เมษายนที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจมาถึงจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เจอวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540
“เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนีไม่พ้น โดยเฉพาะการส่งออกของไทยในเดือน ม.ค. ที่ขยายตัวติดลบ 3.7% เดือน ก.พ.ติดลบ 6.1% และเดือน มี.ค. ก็คาดว่ายังขยายตัวติดลบเช่นกัน ทำให้ไตรมาสแรกของปี 2558 การส่งออกจะติดลบประมาณ 4% มากที่สุดหลังเกิดวิกฤติปี 2540” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุ
นั่นคือข่าวร้ายของคนไทยที่ต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายต่อไปอีก และแม้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวมีผลกระทบมาถึงเรา และฝันร้ายจากนโยบายเศรษฐกิจประชานิยมของรัฐบาลชุดก่อนทั้งเรื่องการขึ้นราคาแรง 300 บาท ทำให้สินค้าบางรายการแข่งขันด้วยต้นทุนกับประเทศเพื่อบ้านไม่ได้ รวมไปถึงความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ที่ทำให้มีข้าวค้างอยู่โกดังถึง 17 ล้านตัน ยังระบายออกไปไม่ได้ เป็นตัวฉุดให้ราคาต่ำลงไปอีก
อย่างไรก็ดี นั่นอาจเป็นความจริงก็ได้หรือเป็นข้ออ้างก็ได้ แต่สำหรับชาวบ้านเขาไม่สนใจหรอกว่าปัญหามันซับซ้อนแค่ไหน สนใจแต่ว่ารัฐบาลแก้ปัญหาความเดือดร้อน แก้ปัญหาปากท้องได้ดีแค่ไหน เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการแก้ปัญหา ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จทำได้ทุกอย่าง แต่เมื่อผลออกมาอย่างที่เห็นมันก็น่าเป็นห่วง และยิ่งจะมีการแถลงผลงานของรัฐบาลครบ 6 เดือน ในวันที่ 17 เมษายน มันก็ต้องจับตาว่าจะเอาอะไรมาโชว์ เพราะแม้ว่าจะสร้างความมั่นคงได้ดีแต่หากเรื่องปากท้องยังสอบตก มันก็ไม่มีทางสมบูรณ์แบบแน่นอน!!