ผ่าประเด็นร้อน
แม้ไม่เชื่อเรื่องโหร เรื่องการทำนายทายทัก เพราะเหมือนกับคำพูดของ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่กล่าวว่าไม่ว่าจะมีดวงดาวดีแค่ไหนจะทับซ้อนกันกี่ดวงก็ตาม แต่ทำชั่ว ไม่มีศิลธรรม ก็อยู่ลำบาก แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับผลกรรม ถ้าทำดี คิดดีประพฤติดี ก็ย่อมได้รับผลความดีตอบแทนกลับมา นี่คือ หลักการง่ายๆ ที่เป็นเหตุเป็นผล และทุกอย่างก็ต้องมีการพิสูจน์ให้เห็น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากคำทำนายของโหรที่ชื่อ วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ที่ทำนายในเรื่องที่ว่าภายในไม่เกิน 3 เดือน หรือภายใน 1 - 2 เดือน นี้ นายกรัฐมนตรีจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ซึ่งไม่รู้ว่าสาเหตุแห่งการทำนายแบบนี้เป็นเพราะดูจากดวงดาว หรือว่าพิจารณาเอาจากความเคลื่อนไหวข่าวคราวตามสื่อ ได้เห็นผลงานของแต่ละคนจนทำให้ต้องฟันธงออกมาว่าต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเวลาอันใกล้นี้
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริง และระยะเวลาทุกอย่างทันก็เข้าเค้า มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันว่าจะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี ทางหนึ่งพิจารณาจากผลงานของรัฐบาล โดยเฉพาะผลงานทางด้านเศรษฐกิจ ต้องยอมรับว่ายัง “สอบไม่ผ่าน” ผลงานยังไม่กระเตื้องขึ้นมาเลย จากเดิมที่คาดหวังกันว่าภายในสิ้นปีที่แล้ว คือ สิ้นปี 2557 หลังจากที่มีคณะรักษาคสามสงบแห่งชาติ (คสช.) มีรัฐบาลเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว คงจะใช้เวลาสะสางปัญหาเก่าที่รัฐบาลประชานิยมของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะปัญหาที่สร้างความฉิบหายวายป่วงจากโครงการรับจำนำข้าว โครงการรถคันแรกที่สร้างหนี้สินครัวเรือน การขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ จนทำให้สินค้าหลายรายการไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับคู่แข่งในประเทศเพื่อนบ้านได้
นั่นเป็นปัญหาที่หมักหมมต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลาแก้ไข นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ปีที่แล้ว เป็นต้นมา มีรัฐบาลที่มี “อำนาจพิเศษ” แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในตอนนั้นปีที่แล้วมีการคาดหมายว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีต้องโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 แม้ว่าในตอนต้นปีจะมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองจนทำให้ติดลบ การลงทุนชะงัก แต่หลังจากนั้นต้องกลับมาเป็นบวก แต่ในที่สุดก็ไม่เป็นไปตามเป้า ทั้งปีโตได้แค่ร้อยละ 0.7 เท่านั้น ขณะเดียวกัน ก็ตั้งเป้าหมายใหม่ว่าในปีนี้ คือ ปี 2558 เศรษฐกิจทั้งปีจะต้องโตร้อยละ 4 การส่งออกต้องโตเท่านั้นเท่านี้ การกระตุ้นการใช้จ่ายภายในจะต้องมีความคึกคักมากกว่าเดิม การเบิกจ่ายงบประมาณปี 58 ต้องรวดเร็วและรัดกุมไม่มีเรื่องการทุจริต การท่องเที่ยวต้องพุ่งกระฉูด ฯลฯ
แต่กลายเป็นว่า ล่าสุด ที่ยอมรับออกมาจากปากของ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เศรษฐกิจไทยกำลังย่ำแย่หนัก การส่งออกไตรมาสแรกติดลบเฉลี่ยถึงร้อยละ 4 ถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 เป็นต้นมา โดยเขาอ้างว่าเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจในตลาดโลกซบเซา จนทำให้เราพลอยมีปัญหาตามไปด้วย
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากตัวเลขและข้อมูลดังกล่าว มันก็ย่อมทำนายได่ล่วงหน้าแล้วว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะโตได้กี่เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีทางถึงร้อยละ 4 ตามเป้าหมายเดิมอีกแล้ว การจัดเก็บรายได่ก็พลาดเป้า ทำให้มีการคาดการณ์เป้าหมายใหม่จากภาคเอกชนว่าน่าจะโตไม่เกินร้อยละ 2 เสียด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ดี นี่คือ ความจริง ไม่ได้มีเจตนาหรือหวังผลโจมตีทางการเมือง แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่าผลงานด้านเศรษฐกิจปากท้องของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผลงานยังออกมาไม่ถึงขั้น ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากอายุของรัฐบาลที่กำลังจะมีอายุครบรอบ 6 เดือน จะมีการแถลงผลงานกันในวันที่ 17 เมษายน อีกมุมนหนึ่งมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับเปลี่ยน หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการปรับกระบวนการทำงานกันใหม่ เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆ รับรองว่าไม่สวยแน่
คำถามก็คือแล้วจะปรับใครออก แน่นอนว่าเป้าหมายน่าจะเป็นทีมเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อกันตรงๆก็ได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่จนถึงวันนี้ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ ชาวบ้านไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า คนพวกนี้ก็น่าจะถึงคราวโละออกไปได่แล้วเหมือนกัน !!