เสื้อแดง! ถอย ย้ายจัดทำบุญอุทิศสว่นกุศลผู้เสียชีวิตไป “วัดเกิดการอุดม” ปทุมธานี แทนวัดพลับพลาชัย “จตุพร” ย้ำเรียบง่าย ไม่มีปราศรัย ไม่มีเรื่องการเมือง ด้าน โฆษก คสช. ย้ำเข้าใจในความรู้สึกและความตั้งใจของคนเสื้อแดง “ไก่อู” แจง คดีสลายชุมนุมปี 53 มั่นใจ เวลาเปลี่ยนไม่สามารถเปลี่ยนพยานหลักฐานได้ ไม่ใช้ ม.44 มาตัดสินใครผิดใครถูก
วันนี้ (8 เม.ย.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการจัดงานทำบุญรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 10 เม.ย. นี้ ว่า นปช. และทางญาติวีรชนเม.ย.- พ.ค. 53 เห็นตรงกันว่า เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการทำบุญให้กับผู้เสียชีวิต จึงย้ายสถานที่การจัดงานจากวัดพลับพลาชัย ไปที่วัดเกิดการอุดม ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตั้งแต่เวลา 10.00 - 12.00 น. โดยจะทำพิธีทำบุญถวายสังฆทานเลี้ยงภัตตาหารเพลพระสงฆ์ จำนวน 10 รูป ลดลงจากกำหนดเดิมที่เตรียมจัดที่วัดพลับพลาชัย จำนวน 53 รูป โดยบรรยากาศของงานจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีการปราศรัยไม่มีเรื่องการเมือง มีแต่เสียงสวดมนต์ เพื่อรำลึกผู้เสียชีวิตและเมื่อจบพิธีต่างคนแยกย้ายกันเดินทางกลับ
สำหรับแกนนำ นปช. จะสมทบปัจจัยไปร่วมทำบุญโดยไม่เดินทางไปร่วมงานดังกล่าว เพราะต้องการรักษาบรรยากาศของงานไม่ให้เสียหายหรือมีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวางไปมากกว่าให้บรรดาญาติได้อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้อย่างสบายใจ จึงขอให้ คสช. ควรเปิดใจให้กว้าง และมีวุฒิภาวะพิจารณาเรื่องต่างๆ ให้มาก อย่าเข้าไปขัดขวางการทำบุญ อย่าระแวงไปมากกว่านี้ ควรใช้เวลาไปขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามโรดแมปที่ประกาศไว้น่าจะเป็นผลดีกว่า
“ในเมื่อ นปช. มีวุฒิภาวะมากพอที่ไม่ไปร่วมงาน เพราะไม่ต้องการให้งานบุญที่มีแต่เสียงสวดมนต์ไม่มีการปราศรัยใดๆ มีแต่บรรดาญาติๆ ที่เขาตั้งใจทำบุญต้องสะดุดจนกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว จึงขอเรียนไปถึง คสช. ว่า เมื่อ นปช. ยอมถอยออกมาแล้ว คสช. ก็ควรมีวุฒิภาวะมากพอที่จะไม่เข้าไปขัดขวางการทำบุญอันเรียบง่ายครั้งนี้ แต่หาก คสช. ยังเข้าไปห้ามหรือขัดขวางแสดงว่าไม่ต้องการที่จะอยู่ร่วมกันในแผ่นดินหรือต้องการที่จะต่อสู้หรือไม่” นายจตุพร กล่าว
ก่อนหน้านั้น พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ทาง คสช. เข้าใจในความรู้สึกและความตั้งใจ แต่ในบางมุมมองว่าพื้นที่บริเวณนั้นยังเป็นเหมือนพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ รวมถึงตัวบุคคลผู้ที่จะไปร่วมงานก็ถูกมองว่าเป็นกลุ่มการเมือง จึงเป็นไปได้อย่างสูงที่จะถูกมองว่ากิจกรรมนี้อาจมีส่วนไปสัมพันธ์กับเรื่องทางการเมืองได้ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้ถูกผู้ไม่หวังดีอ้างหยิบมาเป็นประเด็น ดังนั้น ในช่วงนี้อาจปรับรูปแบบกิจกรรมให้เป็นเรื่องของทางญาติและผู้ปรารถนาดีร่วมกันสนับสนุนปัจจัยให้ฝากกันไปทำบุญก็เป็นไปได้หรืออาจขอให้แยกกันไปทำบุญตามแต่ภูมิลำเนาก็ดูน่าจะเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์มากกว่า
“คสช. จำเป็นต้องยึดแนวทางเดิมที่สังคมส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย คือ การขอความร่วมมือทุกภาคส่วนให้ระมัดระวัง หรือหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มีลักษณะเชิงสัญลักษณ์ หรือมีที่มาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต เพราะเป็นเรื่องเปราะบางและสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปสร้างความรู้สึกร่วมในเชิงลบของผู้ไม่หวังดี อีกทั้งไม่เกื้อกูลต่อการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ที่สังคมไทยกำลังเดินหน้าเรื่องนี้อยู่” พ.อ.วินธัย กล่าว
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่แกนนำเสื้อแดงมีข้อสงสัยถึงการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีการปรับเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจากเหตุการณ์ปี 53 ว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ การเร่งรัดให้คดีความต่างๆ ให้เข้าสู่กระบวนการโดยรัฐบาลไม่ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 มาตัดสินว่า ใครถูกใครผิดแต่ให้รื้อคดีต่างๆ ที่ยังค้างอยู่เพื่อเดินหน้า หากวันนี้ไม่สามารถทำความจริงให้ปรากฏก็จะเป็นข้อสงสัยเป็นผลให้มีการนำไปใช้เป็นวาทกรรม สร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชนรัฐบาลมั่นใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น มีข้อมูล หลักฐาน พยานชัดเจนไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูล หลักฐานพยานที่มีอยู่ได้ แม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามเปลี่ยนหลักฐานสำนวนข้อมูลต่างๆ ก็ตาม
เมื่อถามว่าสิ่งที่แกนนำเสื้อแดงเป็นห่วงก็เพราะคนในรัฐบาลชุดนี้เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ด้วยพล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ใช่คนตัดสิน ว่า ใครถูกใครผิด คนตัดสิน คือ กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ต้องทำอย่างนี้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในกระบวนการนั้นไม่ใช่ความลับ แต่เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนรับทราบกันอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนเองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่ควรเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ทุกคนเรียกร้องถึงเสรีภาพ แต่ไม่เคยพูดถึงหน้าที่จึงอยากให้ช่วยกันสะท้อนในความเป็นจริงให้สังคมได้รับทราบ