xs
xsm
sm
md
lg

สปช.ตามน้ำ กมธ.ปฏิรูป รสก.ปรับโครงสร้าง สมาชิก จี้ โละบอร์ดเซ่นบริหารห่วย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สภาปฏิรูปแห่งชาติ(แฟ้มภาพ)
ที่ประชุม สปช. เห็นชอบรายงาน กมธ.ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เสนอ ครม.ทบทวนบทบาทรัฐวิสาหกิจเน้นคงอยู่องค์กรที่จำเป็น ปรับโครงสร้าง พร้อมออกกฎหมายรองรับ ด้านสมาชิกสับบริหารห่วย ขาดทุนหลายหมื่น ล. แนะ รบ. ใช้ ม.44 โละบอร์ดทุกชุด เฟ้นคนดีมาบริหารอย่างโปร่งใส

วันนี้ (31 มี.ค.) การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เรื่องการปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ โดยนายสมชัย ฤชุพันธ์ ประธาน รายงานว่า ปัญหาสำคัญของรัฐวิสาหกิจ คือ การปฏิบัติงานทับซ้อน ผลประกอบการขาดทุน เพราะต้องปฏิบัติตามภารกิจของรัฐบาลและการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพ อีกทั้งยังขาดการจำแนกหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจอย่างชัดเจน เช่น รัฐวิสาหกิจที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว ควรมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ไม่ใช่การมุ่งหารายได้ นอกจากนั้น จะรัฐบาลจะต้องทบทวนว่าควรคงไว้ซึ่งรัฐวิสาหกิจบางองค์กรหรือไม่ หรือควรแปลงสภาพองค์กรให้เป็นแบบอื่น

ทั้งนี้มีแนวทางปฏิรูป 3 แนวทาง คือ 1. กำหนดบทบาทของรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน ระหว่างองค์กรที่กำหนดนโยบาย และผู้กำกับดูแล เจ้าของ และผู้ให้บริการ ซึ่งขณะนี้เกิดความสับสนในหน้าที่ดังกล่าว เช่น องค์กรที่กำหนดนโยบายทำหน้าที่ให้บริการเสียเอง หรือกรรมการในองค์กรกำกับดูแล ไปเป็นกรรมการในองค์กรใต้กำกับดูแลเสียเอง เป็นต้น 2. องค์กรที่เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจ เสนอให้จัดตั้งหน่วยงานที่เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจแทน ในลักษณะองค์กรที่รัฐเข้าไปถือหุ้น หรือองค์กรอิสระ และ 3. รัฐบาลสามารถใช้รัฐวิสาหกิจในการดำเนินงานเป็นกรณีพิเศษตามนโยบายของรัฐบาลได้ โดยแยกบัญชีของการดำเนินงานนโยบายของรัฐออกต่างหาก โดยตั้งเป็น "บัญชีบริการสาธารณะ"

ทั้งนี้ข้อเสนอในการปฏิรูปต่อรัฐบาล คือ 1. รัฐบาลควรทบทวนบทบาทและความจำเป็นของรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง และหาแนวทางจัดการกับรัฐวิสาหกิจที่มีความจำเป็นต้องคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ 2. รัฐบาลควรปรับโครงสร้างกำกับดูแลระบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ โดยแยกบทบาทของผู้กำหนดนโยบาย ผู้กำกับดูแล เจ้าของ และผู้รับนโยบาย แยกออกจากกันอย่างชัดเจน และ 3. ออกกฎหมายรองรับพันธกิจต่างๆ ที่กำหนดให้ปฏิรูป

ด้านสมาชิก สปช.ได้แสดงความเห็นอย่างหลากหลายโดยส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางของคณะกรรมาธิการฯ อาทิ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ กล่าวว่า รัฐวิสาหกิจจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ รัฐวิสาหกิจเชิงสังคม กับรัฐวิสาหกิจเชิงพาณิชย์ ซึ่งรัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ซึ่งปัญหาสำคัญเกิดจากการขาดประสิทธิภาพในการบริหารงาน เพราะผู้บริหารส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ จึงนำระบบแบบแผนในการบริหารงานแบบข้าราชการมาใช้และยังถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองในการแต่งตั้งประธานหรือคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ พิจารณาจากการเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารตามการเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งตนเห็นว่าควรปรับโครงสร้างการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ โดยจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ จำนวนกึ่งหนึ่งของคณะผู้บริหาร เข้ามาบริหารอย่างมืออาชีพ ทำงานเต็มเวลา ส่วนอีกกึ่งหนึ่งให้มาจากข้าราชการ ซึ่งคณะกรรมการจะต้องมาจากผู้บริหาร 2 กลุ่ม ไม่ใช่มาจากนักการเมือง นอกจากนั้นควรให้มีการสรรหาซีอีโอคล้ายกับการสรรหาผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง กล่าวว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของ กมธ.ฯ ให้จำแนกประเภทรัฐวิสาหกิจอย่างเร่งด่วน รวมถึงทบทวนความจำเป็นคงอยู่รัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ควรปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้เกิดประสิทธิภาพ เช่น องค์การเภสัชกรรม สามารถผลิตยาเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งและโรคหัวใจในราคา 70 บาท จากราคา 180 บาท ส่งผลให้ต้นทุนของยาลดลงอย่างมาก ฯลฯ นอกจากนั้นควรลดการแทรกแซงรัฐวิสาหกิจจากฝ่ายกาเมือง การส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป เช่น กรณี ปตท. ที่ปัจจุบันมีมูลค่าสูงสุดกว่า 2.8 ล้านล้านบาท แต่ประเทศกลับได้ประโยชน์น้อย

นายเสรี สุวรรณภานนท์ สปช. เสนอให้คณะกรรมาธิการปฏิรูปฯ ส่งความเห็นไปยังรัฐบาลและคสช. ใช้อำนาจมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ยกเลิกคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจทุกชุด เพื่อให้มีการเลือกคณะกรรมการชุดใหม่ โดยเน้นบุคคลที่มีความรู้ความสามมารถและมีความโปร่งใส เพราะที่ผ่านมาทุกรัฐวิสาหกิจล้วนมีข้อครหาว่ามีการทุจริตคอรัปชั่นกันมากจนทำให้เกิดภาวะขาดทุนมหาศาล

นายณรงค์ พุทธชีวิน สปช. กล่าวสนับสนุนให้มีการปฏิรูป เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่าการทำงานของบุคคลากรในรัฐวิสาหกิจที่มีเงินเดือนสูงแต่ประสิทธิภาพสวนทางกัน จนทำให้ทุกคนคาดหวังให้ลูกหลานตนเองได้ทำงานในองค์กรนี้ เพราะทำอะไรดีไม่ดีก็ได้เงินเดือนสูงแน่นอน ทั้งที่วัตถุประสงค์การทำรัฐวิสาหกิจเพื่อธุรกิจ แต่ที่ทำเป็นประชาสงเคราะห์และหลักการประชานิยมเต็มรูปแบบ จัดสรรคนสงเคราะห์พวกพ้องและเครือญาติ เป็นองค์กรขาดทุนอย่างมีมาตรฐาน แต่มีโบนัสค่าตอบแทนทุกปี ซึ่งเป็นโบนัสที่ทำให้องค์กรนี้ประสบความขาดทุน ไม่ยึดโยงกับผลประกอบการเลย มีไม่มีกี่คนที่คำนึงผลประกอบการทั้งที่บอกเป็นธุรกิจ รัฐบาลทุกรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการแข่งขัน แต่รัฐวิสาหกิจกลับไปทำลายนโยบายนี้ด้วยการแข่งขันเองแบบผูกขาด เป็นองค์กรที่ให้ผลตอบแทนบุคคลากรสูงมากแต่คนกลับไม่รักไม่ผูกพัน ขาดทุนก็ช่างมัน

“ผมเชื่อว่าองค์กรรัฐวิสาหกิจเป็นองค์กรที่ต้องการให้เกิดประสิทธิภาพ แต่รัฐวิสาหกิจไทยไม่มีกลไกที่ตอบสนองส่วนนี้ โดยเฉพาะหลักการประชาภิบาลและกลไกที่ทำให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรทำให้เป็นองค์กรที่ ไม่ใช่มีเพราะอยากให้มี และรัฐวิสาไทยสามารถเปลี่ยนเป็นวิสาหกิจชุมชน ที่รักหวงแหนและมีประสิทธิภาพพอให้เกิดประสิทธิภาพได้ ส่วนการให้มีซุปเปอร์บอร์ดสุดท้ายอำนาจทั้งหมดก็จะลงในส่วนนี้ มั่นใจหรือว่าซุปเปอร์บอร์ดเป็นคนดี มีคุณภาพและมั่นใจหรือว่าจะมาด้วยกระบวนการคุณภาพ ไม่ใช่มาด้วยประชาสงค์เคราะห์ ผมเชื่อว่าที่สุดแล้วรัฐวิสาหกิจมีทางเดียวที่จะอยู่รอดได้คือต้องหาคนดีมาบริหาร หลักการได้มาซึ่งคนดีต้องไม่ยึดโยงกับกลุ่มพวกและผลประโยชน์ ก็จะประสบความสำเร็จได้”

นายนิรันดร์ พันธกิจ สปช. กล่าวสนับสนุนแนวทางการปฏิรูปของคณะกรรมาธิการ โดยยกตัวอย่างการบริหารของรัฐวิสาหกิจธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ที่เป็นธนาคารเฉพาะกิจต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจด้านการคลังของอิสลาม ปัญหาที่เกิดคือการตั้งบอร์ดไม่มีผู้รู้จริงหรือชำนาญด้านการเงินการคลังเป็นที่ยอมรับของสังคมมุสลิมจึงเป็นปัญหาเรื่องไร้ความเชื่อถือของชาวมุสลิมทำให้ใช้บริการน้อย รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถืออาศัยความสัมพันธ์โดยส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การบริหารไม่ประสบความสำเร็จ ขาดทุนเป็นหมื่นๆล้านบาท บอร์ดชะรีอะฮ์ที่กำกับทุกคนล้วนน่าเชื่อถือในสังคมมุสลิม แต่แต่งตั้งมาจากซุปเปอร์บอร์ดของธนาคารอิสลาม ทำให้ไม่กล้าที่จะท้วงติงใดๆกรณีที่กระทำไม่ถูกต้อง บอร์ดเองก็ไม่ส่งประเด็นการบริหารที่เกี่ยวข้องกับอิสลามให้บอร์ดชารีอะฮ์พิจารณา ส่วนอิทธิพลทางการเมืองนั้นมีผลต่อการบริหารของธนาคาร เพราะเวลาจะกู้เงินก็ใช้เส้นสายทางการเมือง ประธานบอร์ดก็มาจากการแต่งตั้งของรัฐมนตรีการเมืองทำให้เกิดความเกรงใจ จนก่อหนี้เสียเป็นหมื่นล้านบาทตามทวงไม่ได้ หากจะปฏิรูปรัฐวิสาหกิจในองค์กรนี้ต้องแก้กฎหมายธนาคารอิสลามใหม่ มีส่วนที่มาจากฝ่ายการเมืองบ้างได้แต่ไม่ควรทั้งหมดหรือมากเกินไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับรายงานของคณะกรรมาธิการปฎิรูปฯ และความเห็นข้อเสนอแนะของสมาชิกด้วยคะแนน 189 ไม่เห็นด้วย 3 งดออกเสียง 6 จากนั้นจะส่งรายงานและความเห็นของสมาชิกไปยัง ครม. ต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมสปช ยังได้มี จะมีการส่งรายงาน ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของสมาชิกให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เรื่องการงบประมาณ วาระการจัดตั้งสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา โดยนายสมชัย ฤชุพันธ์ ประธานฯ รายงานว่า กระบวนการงบประมาณของประเทศไทยกำหนดให้หารใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องเป็นกฎหมายงบประมาณ และต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา รัฐสภาจึงมีหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ จึงต้องทำการวิเคราะห์แผนการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยวิเคราะห์ถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ผลกระทบและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งต้องวิเคราะห์ว่าการใช้งบประมาณนั้นคุ้มค่าหรือไม่

เพื่อให้การดำเนินการวิเคราะห์งบประมาณเป็นไปด้วยดี สภาฯ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทางวิชาการอย่างเข้มแข็ง ซึ่งในต่างประเทศ อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกาจัดให้มีสำนักงบประมาณของรัฐสภา เรียกว่า CBO และประเทศแคนาดา เรียกว่า PBO เป็นต้น จึงมีการเสนอให้จัดตั้งหน่วยงานอิสระภายใต้สภาฯ เรียกว่า “สถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา (สงร.) โดยมีหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณประจำปี เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสภาฯ และเผยแพร่ต่อสาธารณชน

นอกจากนี้ยังมี มติด้วยคะแนน 187 ต่อ 10 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียงกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา พ.ศ. ... ที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจฯ เสนอด้วยคะแนน 181 ไม่เห็น 12 งดเสียง 11 จากนั้นประธานสั่งปิดการประชุมในเวลา 17.50 น.


กำลังโหลดความคิดเห็น