ประชุม สปช.ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ย้อนที่ผ่านมา กม.ขาดประสิทธิภาพ พร้อมปฏิรูปองค์กรก่อนชั้นศาล ลดปริมาณคดีขึ้นศาล ทำให้ตัดสินมีประสิทธิภาพ ไม่แตะศาลทหาร ยกดีอยู่แล้ว ศาล รธน.ปรับวางกรอบแต่งตั้งให้ชัด ศาล ปค.ต้องมีฐานมั่นคง ศาลยุติธรรมให้ผู้พิพากษา 60 ปีช่วยศาลชั้นต้น สปช.หนุน ปชช.เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมโดยง่าย ลบสองมาตรฐาน เน้นไกล่เกลี่ย
วันนี้ (24 มี.ค.) ณ รัฐสภา มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยมีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงานการศึกษาเรื่องการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช. โดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธาน กมธ.กล่าวว่า 10 ปีที่ผ่านมาเกิดสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ประชาชนไม่มีความปลอดภัยทางทรัพย์สินมีการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายกันมาก มีคนจำนวนไม่น้อยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีจิตวิญญาณในการปฏิบัติหน้าที่ จึงสมควรต้องมีการปฏิรูปกระบวนทั้งระบบ โดยองค์กรและเจ้าหน้าที่รัฐในกระบวนการยุติธรรมต้องปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุง แนวทางบริหารองค์กรและวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในกระบวนการยุติธรรมให้ มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฎหมายให้มีมาตรฐาน และปรับปรุงกระบวนการร่างและแก้ไขกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ เพราะมีการกระทำผิดกฎหมายกันมาก รวมถึงมีการทุจริตคอร์รัปชั่นหลายภาคส่วน
นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูปองค์กรและกระบวนการยุติธรรมก่อนชั้นศาล คือ ปฏิรูปองค์กรอัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทนายความ และหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม เสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ยกเลิกกฎหมาย หรือร่างกฎหมายใหม่ ขององค์กรดังกล่าว เนื่องจากระบบสอบสวนที่แยกส่วนระหว่างพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ทำให้การสอบสวนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะในคดีที่มีความซับซ้อน นอกจากนี้ยังไม่มีความชัดเจนทางกฎหมาย ในการเพิ่มอำนาจหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานอัยการ ให้มีอำนาจในการลดปัญหาและยุติปัญหาทางคดีความก่อนนำคดีไปสู่ศาล รวมทั้งมีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลมากเกินไป ทำให้คดีค้างพิจารณาจำนวนมาก จึงต้องมีการปฏิรูปกระบวนการสอบสวนในคดีสำคัญ โดยให้พนักงานอัยการเข้าร่วมในการสอบสวนกับพนักงานสอบสวน และการเข้าสอบสวนคดีตามที่กฎหมายให้อำนาจพนักงานอัยการ ปฏิรูปกระบวนการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวน ชั้นพนักงานอัยการ และชั้นศาลให้สามารถใช้หลักประกันเดียวกันได้ตลอดทั้งคดี ปฏิรูปมาตรการทดแทนการสั่งฟ้องคดี เช่น การไกล่เกลี่ย การชะลอการฟ้องเพื่อลดปริมาณคดีสู่ศาล รวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรอัยการและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งการปฏิรูปครั้งจะช่วยลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาล ทำให้ศาลสามารถตัดสินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนจนเข้าถึงความยุติธรรมได้มากขึ้น และขจัดปรากฏการณ์ความยุติธรรมสองมาตรฐานทำให้ฐานะทางการเงินไม่เป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาความยุติธรรม ดังนั้นเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค. 58
ส่วนการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ประธานอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล กล่าวว่า คณะอนุ กมธ.ได้พิจารณากระบวนการในชั้นศาล 4 ศาล คือ ศาลทหาร ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และศาลยุติธรรม ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. ศาลทหาร คณะอนุ กมธ.ไม่มีข้อเสนอให้มีการปรับปรุงกระบวนการในศาลทหาร เพราะกระบวนมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว โดยเฉพาะศาลทหารในสถานการณ์ปกติ ที่พิจารณาเฉพาะการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ควรบัญญัติให้นำแนวกระบวนการในศาลยุติธรรมและศาลปกครองมาปรับใช้กับศาลทหาร สิ่งที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้วไม่ควรไปยุ่ง 2. ศาลรัฐธรรมนูญ เสนอให้มีการปรับปรุงกระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา ที่ส่วนหนึ่งมาจากคณบดีคณะนิติศาสตร์ เนืองจากปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาจำนวนมาก จึงต้องวางกรอบให้ชัดเจน 3. ศาลปกครอง จะต้องวางรากฐานให้เกิดความมั่นคง โดยเริ่มพัฒนาผู้พิพากษาในแต่ละขั้นตอนให้เกิดประสิทธิภาพ แทนการนำบุคคลจากองค์กรอื่นเข้ามาปฏิบัติงานในศาลปกครองอย่างเป็นระบบ และ 4. ศาลยุติธรรม ปฏิรูปให้ผู้พิพากษาเกษียณอายุ 70 ปี แต่หลังจากอายุ 60 ปี จะต้องไปช่วยปฏิบัติหน้าที่ในศาลชั้นต้น เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกระบวนการยุติธรรมในศาลชั้นต้น
สำหรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในองค์กรอิสระ นายประสิทธิ์ ปทุมารักษ์ ประธานอนุ กมธ.ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในองค์กรอิสระ โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อนและล่าช้า ทั้งนี้จะต้องปฏิรูปอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
อย่างไรก็ตาม สมาชิก สปช.เห็นด้วยต่อรายงานของ กมธ.ปฏิรูปกฎหมายฯ ซึ่งจะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย ลบล้างวาทกรรมกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน รวมถึงการมุ่งสร้างกระบวนการไกล่เกลี่ยในกรณีพิพาทแทนการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้จะมีการพิจารณารายงานของ กมธ.ปฏิรูปกฎหมายฯ อีกครั้งในสิ้นเดือน พ.ค.นี้