มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผยแพร่แถลงการณ์จุดยืนของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคต่อกรณี ปตท.ยื่นฟ้องมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค-รสนา โตสิตระกูล ข้อหาจัดทำเสื้อระดมทุน “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน” ละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อดจิ ระบุแจ้งความตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 57 โดยศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้อง 30 มี.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ขอร้องบอร์ด ปตท.ทบทวนถอนฟ้องเพื่อมิให้ต้องเสียเวลาเสียงบประมาณทั้งของ ปตท.และของศาล
วันนี้ (24 มี.ค.) มีรายงานว่า ภายหลังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้แถลงจุดยืนต่อกรณีที่ บมจ.ปตท.ได้ยื่นฟ้องมูลนิธิฯ และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ข้อหาจัดทำเสื่อระดมทุน “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงานละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อดจิ”
ข่าวประกอบ : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแนะ ปตท.ถอนฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ “ก๊อดจิ” ชี้เสียเวลาเปล่า
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้เผยแพร่แถลงการณ์ “จุดยืนของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคต่อกรณี ปตท.ยื่นฟ้องมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ข้อหาจัดทำเสื้อระดมทุน “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน” ละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อดจิ”
โดยระบุถึงรายละเอียดของคดีว่า ด้วยเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557 บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โดยนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้มอบอำนาจให้ทนายความยื่นฟ้องมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นจำเลยที่ 1 น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นจำเลยที่ 2 นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ เหรัญญิกมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นจำเลยที่ 3 และนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา เจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นจำเลยที่ 4 และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล เป็นจำเลยที่ 5 ในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อหากำไร
ปตท.ได้บรรยายในคำฟ้องว่า “ปตท.เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด โดยในการดำเนินธุรกิจปิโตรเลียม ปตท.ได้คิดประดิษฐ์และสร้างสรรค์ตัวการ์ตูนไดโนเสาร์ที่ใช้ชื่อว่า “ก๊อดจิ” ซึ่งมีลักษณะท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และใช้พื้นสีน้ำเงินขาว ซึ่งเป็นสีประจำของบริษัท ปตท. ในตัวการ์ตูนไดโนเสาร์ก๊อดจิ โดยกลางหน้าอกของตัวก๊อดจิมีเครื่องหมายการค้าของ ปตท. พร้อมทั้งตัวย่ออักษรคำว่า “PTT” ซึ่งมาจากชื่อบริษัทของ ปตท. ว่า “Petroleum Authority of Thailand” และ ปตท. ได้ใช้ตัวการ์ตูนก๊อดจินี้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในธุรกิจของ ปตท. ในรูปแบบต่างๆ เรื่อยมาถึงปัจจุบันจนเป็นลิขสิทธิ์การ์ตูน และเครื่องหมายการค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายในประเทศไทย
ปตท.ได้บรรยายคำฟ้องเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ตัวการ์ตูนก๊อดจิมีความแพร่หลายมากขึ้น ปตท.ได้ว่าจ้างให้บริษัท ออพติมัน มีเดีย ไดเรคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ทำการผลิตสติกเกอร์ตัวการ์ตูนก๊อดจิที่มีลักษณะท่าทางและอากัปกิริยาต่างๆ ในการสื่อความหมายแทนคำพูด เพื่อให้ผู้ใช้บริการโปรแกรมแอปพลิเคชันไลน์ (Line) ดาวน์โหลดไปใช้งานอันเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์กิจการของ ปตท. อีกรูปแบบแก่ประชาชน
นอกจากนี้ ปตท.ยังได้ดำเนินการนำตัวการ์ตูนก๊อดจิที่ ปตท.คิดพัฒนาและใช้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ไปจดแจ้งลิขสิทธิ์ประเภทงานศิลปกรรมต่อ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ โดยมีสำเนาหนังสือรับรองการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์เลขที่ 315504 ให้ไว้ ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2557 และคำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2557 แนบเป็นเอกสารท้ายฟ้อง
ปตท.ได้กล่าวหามูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและจำเลยทั้งหมดว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557 ปตท. ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อดจิซึ่งเป็นงานประเภทศิลปกรรมได้ตรวจสอบพบว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและจำเลยทั้งหมด ได้ร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อดจิของ ปตท.เพื่อหากำไร ร่วมกันทำซ้ำ ดัดแปลง โดยการนำเอาตัวการ์ตูนก๊อดจิในลักษณะท่านอนมาทำซ้ำ ดัดแปลงให้เป็นตัวการ์ตูนที่มีสีฟ้าและขาวเช่นเดียวกับงานลิขสิทธิ์ของ ปตท. แต่เปลี่ยนลักษณะเป็นท่ากำลังนอนอ้าปากซึ่งมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกับตัวการ์ตูนก๊อดจิ แล้วนำมาประกอบกับลวดลายต่างๆ และได้มีการตั้งชื่อว่า “คายมาจิ”
ปตท.ยังได้กล่าวหาต่อไปว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและจำเลยทั้งหมด ได้กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ต่อไปอีกโดยการลงประกาศขาย จำหน่าย รวมทั้งเป็นผู้ขาย เสนอขาย เสื้อยืดที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อดจิผ่านทางเว็บไซต์ consumerthai.org ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, เฟซบุ๊ก “ไม่เคยลัก แบริเออร์” ของนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา เจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเฟซบุ๊ก “รสนา โตสิตระกูล” ของ น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
โดยมีข้อความประกาศว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีการจัดทำเสื้อคายมาจิตัวละ 150 บาท ซึ่งรายได้ทั้งหมด จำเลยทั้งห้าจะนำเอาเข้ากองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงานซึ่งกำกับดูแลโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยได้มีการระบุวิธีสั่งซื้อเสื้อยืดคายมาจิ 2 วิธี คือ
(1) วิธีการสั่งซื้อทางไปรษณีย์ โดยให้โอนเงินบัญชี “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน”
(2) ซื้อด้วยตนเอง ณ ที่ทำการสำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยมี น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ เหรัญญิกมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา เจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นเจ้าของบัญชีผู้มีอำนาจในการรับและถอนเงินจากบัญชี
ปตท.ได้บรรยายในคำฟ้องเพิ่มเติมว่า เมื่อ ปตท.ได้รับทราบถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ จึงได้ทำการสืบสวนและพบว่าในการจำหน่ายงานละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและจำเลยทั้งหมด ได้ค่าตอบแทนจากการละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อดจิ โดยผู้ซื้อสินค้าต้องโอนชำระค่าเสื้อเข้าบัญชี “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน” ธนาคารไทยพาณิชย์ บัญชีเลขที่ 405-420031-3 ก็พบว่ามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายวีรพงษ เกรียงสินยศ เหรัญญิกมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา เจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นผู้ดูแลจัดการและได้รับผลประโยชน์จากการขายเสื้อยืดที่ประชาชนโดยทั่วไปสั่งซื้อ และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคก็จะนำส่งเสื้อยืดให้ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
ปตท.ยังได้บรรยายคำฟ้องอีกว่า ในส่วนของ น.ส.รสนา โตสิตระกูล จำเลยที่ 5 นั้น ได้เสนอและสนับสนุนให้มีการจำหน่ายและแจกจ่ายเสื้อยืด โดยนางสาวรสนา ได้โพสต์เขียนข้อความเสนอและสนับสนุนการจำหน่ายเสื้อยืดว่า “....ภาพการ์ตูนนี้เอามาใช้เป็นแบบเสื้อเพื่อรณรงค์และหาทุนให้กับ “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน” เพื่อกิจกรรมปฏิรูปพลังงานของภาคประชาชน...”
“...จะถามให้นะคะว่าจำนวนมากพอไหมถ้าสั่งเป็น 100 และมีค่าจัดส่งไหมจะมาบอกค่ะ หรือจะโทรสอบถามตรงเลยก็ได้ที่ 0-2248-3734-7 ต่อ 110-127”
นอกจากนี้ เพื่อดำเนินการส่งเสริมการขายเสื้อยืดให้แพร่หลายมากขึ้น นางสาวรสนา ได้นำเสื้อยืดมาใส่โดยแสดงตนเป็นพรีเซ็นเตอร์ (Presenter) จากการกระทำดังกล่าว ปตท. ได้กล่าวหา น.ส.รสนาว่า จึงเป็นร่วมกันการทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน รวมถึงมีเจตนาขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย เผยแพร่ต่อสาธารณชนและแจกจ่ายซึ่งงานลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อดจิ ในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ปตท.เพื่อหากำไร
ปตท.ได้กล่าวหา การกระทำของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและจำเลยทั้งหมด เป็นความผิดตามมาตรา 27, 31, 69 และ 70 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และในการฟ้องร้องคดีนี้ ปตท. ได้ดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อแล้ว แต่เนื่องจากการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวนล่าช้า ปตท.จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลด้วยตนเอง
จากคำกล่าวหาทั้งหมดของ ปตท. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคขอชี้แจงต่อท่านสื่อมวลชนและประชาชนโดยทั่วไป ดังนี้
1. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ ลำดับที่ 576 ตามประกาศของกระทรวงการคลัง มิใช่องค์กรแสวงหาผลกำไร และเป็นองค์กรสมาชิกของสหพันธ์ผู้บริโภคสากล (Consumers International) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสภาผู้บริโภคอาเซียน (SEACC) และตลอดระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคตามวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสิทธิอันพึงพึงได้ของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องมั่นคงในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค โดยในการดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคด้านพลังงานนั้น มีผลงานอันที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนหลายประการ อาทิเช่น การยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อเพิกถอนการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อปี พ.ศ. 2548 จนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการแปรรูป (กฟผ.), การยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อเพิกถอนการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เมื่อปี พ.ศ. 2549 แม้ศาลปกครองสูงสุดจะมิได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนการแปรรูป ปตท. แต่ศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำสั่งให้รัฐบาลและ ปตท. ต้องร่วมกันแบ่งแยกทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แบ่งแยกสิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ
รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้นำมาสู่การจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และ ปตท. ได้แบ่งแยกคืนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่กระทรวงการคลังในเวลาต่อมาบางส่วน มีมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รายงานว่า มีระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ ปตท.ยังไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอีกประมาณ 32,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเล และในปัจจุบันมูลนิธิฯยังเรียกร้องให้กระทรวงพลังงานดำเนินการจัดการโครงสร้างราคาพลังงานที่เป็นธรรม และรวมถึงการลดค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
2. การจัดตั้งกองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน เป็นการดำเนินการภายใต้การดูแลของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสนับสนุนส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมต่างๆของเครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายภาคประชาชน ที่มุ่งประสงค์การปฏิรูปกิจการพลังงานของประเทศให้มีความเป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนส่วนใหญ่ โดยเปิดบัญชี “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน” ธนาคารไทยพาณิชย์ บัญชีเลขที่ 405-420031-3 เพื่อใช้เป็นช่องทางการรับบริจาคจากประชาชนทั่วไป การเบิกถอนต้องใช้ชื่อ 2 ใน 3 ของผู้ร่วมเปิดบัญชี ภายใต้กฎเกณฑ์ด้านการเงินการบัญชีของมูลนิธิฯที่กำหนดไว้อย่างรอบคอบรัดกุม และมีการจัดทำผลิตภัณฑ์เสื้อยืดออกจำหน่ายเพื่อการระดมทุน โดยนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดเข้าบัญชี “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน” รายได้ทั้งหมดถือเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อยู่ภายใต้การดูแลของกรรมการมูลนิธิฯ มิได้มีการนำกำไรมาแบ่งปันให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
3. กรณี น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สาขาปฏิรูปพลังงาน ได้ใส่เสื้อและถ่ายรูปประชาสัมพันธ์เสื้อยืดนั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคขอชี้แจงว่า น.ส.รสนา ไม่ได้เป็นหรือเคยเป็นกรรมการของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเลยแต่อย่างใด และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในกองทุนที่จัดตั้งแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ได้ขอความอนุเคราะห์ให้คุณรสนาได้ช่วยถ่ายรูปประชาสัมพันธ์เสื้อยืดและกิจกรรมของกองทุนโดยมิได้มีผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ การให้ความอนุเคราะห์ของนางสาวรสนาจึงเป็นการช่วยเหลือด้วยจิตอาสา ด้วยความสมัครใจและบริสุทธิ์ใจเพื่อช่วยให้ประชาชนได้รู้จักช่องทางการบริจาคเงินให้กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงานเป็นสำคัญ
โดยในวันที่ 30 มีนาคม 2558 เวลา 09.00 น. ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ได้มีคำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้อง อย่างไรก็ดี มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ใคร่ขอเรียนถึงคณะกรรมการ ปตท. ทั้งหมดผ่านทางสื่อมวลชนว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แม้จะมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด แต่ ปตท. ก็มีสถานะเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงพลังงาน และมีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่เกินกึ่งหนึ่ง ประชาชนในฐานะผู้เป็นเจ้าขององค์กรจึงย่อมมีสิทธิที่จะตรวจสอบการดำเนินการใดๆ ของ ปตท.ได้ และหาก ปตท. เป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาลจริงก็มิควรจะมองว่าการทำหน้าที่ตรวจสอบของประชาชนและผู้บริโภค จะเป็นการสร้างความเสียหายแก่ ปตท. แต่อย่างใดเพราะแท้จริงจะเป็นการเสริมสร้างการประกอบการของ ปตท. ให้มีความเข้มแข็งและน่าเชื่อถือต่อสายตาประชาชนเสียด้วยซ้ำ
จึงขอให้คณะกรรมการ ปตท.ได้พิจารณาทบทวนการยื่นฟ้องและให้ถอนฟ้องคดีนี้ออกไปจากสารบบคดีความของศาลเสีย เพื่อมิให้ต้องเสียเวลาเสียงบประมาณทั้งของ ปตท. และของศาล อันเป็นภาษีของประชาชนทั้งสิ้นจะเป็นการดีที่สุด