xs
xsm
sm
md
lg

มูลนิธิฯแนะปตท.ถอนฟ้อง ”คายมาจิ”เปลืองเงินปชช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนะให้บมจ.ปตท.ทบทวนและให้ถอนฟ้องกรณีกล่าวหาละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูน”ก๊อตจิ”เหตุเสียเวลา และงบประมาณของปตท.และศาลฯอันเป็นภาษีของประชาชน ย้ำเสื้อยืด ”คายมาจิ” เป็นการรณรงค์ด้านพลังงานสื่อให้เห็นการหนีเสือปะจระเข้ นัดประชาชนให้กำลังใจ 30 มี.ค.ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(24มี.ค.)มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้แถลงจุดยืนต่อกรณีที่บมจ.ปตท.ได้ยื่นฟ้องมูลนิธิฯ และนางสาวรสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ข้อหาจัดทำเสื้อระดมทุน “กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงานละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อตจิ “ โดยมีผู้ที่ถูกปตท.ฟ้องเป็นจำเลยแถลงข่าว 5 คน

รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในฐานะถูกฟ้องซึ่งหากศาลฯรับเรื่องก็จะถูกเป็นจำเลยที่ 1 กล่าวว่า ปตท.ได้กล่าวหาว่ามูลนิธิฯได้ละเมิดลิขสิทธิ์โดยนำตัวการ์ตูนก๊อดจิของปตท.มาทำซ้ำ ดัดแปลงมาเปลี่ยนลักษณะเพื่อทำเสื้อยืดจำหน่ายนั้นขอยืนยันว่าสิ่งที่ทำเป็นการสื่อสารถึงการรณรงค์ให้เกิดการปฏิรูปพลังงาน โดยการ์ตูนที่สื่อออกไปหมายถึงหนีเสือปะจระเข้หากมองด้วยใจเป็นธรรมช่วยพิจารณาด้วยว่าละเมิดลิขสิทธิ์ตรงไหน

“เราต้องการให้เห็นว่าการรณรงค์เรื่องพลังงานแม้เป็นอุปสรรคก็ต้องฟันฝ่า ไปด้วยกัน เป็นบททดสอบก็เชื่อว่า การที่มูลนิธิถูกฟ้องครั้งนี้เราต้องการสื่อสาร เราทำงานเหมือนตัวแทนผู้บริโภค ต้องการให้เกิดการปฏิรูปพลังงานที่เป็นธรรมผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ได้ประโยชน์ของชาติตกไปอยู่ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ”รศ.ดร.จิราพรกล่าว

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงศา เจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ภาพที่ปรากฏบนเสื้อยืดเป็นการสื่อสำนวนสุภาษิตไทยว่า หนีเสือปะจระเข้ โดยเนื้อหาจะมีภาพเสือด้านขวาและมีเส้นทางวกวน เปรียบเทียบว่าเป็นเส้นทางการปฏิรูปพลังงานของประชาชนที่พยายามใช้ไม้ค้ำที่ปากจระเข้ที่กำลังงับสมบัติชาติให้ง้างออกกเพื่อให้คายออกมา และในเสื้อยัง มีข้อความด้านบนว่าเส้นทางปฏิรูปพลังงานไทย? เป็นการตั้งคำถามว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนส่วนร่วม กรณีการละเมิดลิขสิทธิ์นั้น เรายืนยันว่าตัวจระเข้ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ที่เป็นก๊อตจิอะไรเลย และไม่มีโลโก้ปตท. มีสิ่งเดียวคือสีฟ้าที่เหมือนซึ่งคงไม่สามารถละเมิดลิขสิทธ์ได้

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในฐานะถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 กล่าวว่า วันที่ 30 มี.ค. 2558 เวลา 9.00น. ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้อง จึงขอให้ประชาชนไปร่วมให้กำลังใจและขอเรียกร้องให้คณะกรรมการบมจ.ปตท.ทั้งหมดได้พิจารณาทบทวนการยื่นฟ้องและให้ถอนฟ้องนี้ออกไปจากระบบคดีของศาลเสียเพื่อมิให้ต้องเสียเวลาเสียงบประมาณทั้งของปตท.และของศาลอันเป็นภาษีของประชาชนทั้งสิ้น

ทั้งนี้ปตท.ได้กล่าวหาในเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนก๊อตจิ โดยมูลนิธิฯมีการจัดทำเสื้อคายมาจิตัวละ 150 บาทซึ่งรายได้ทั้งหมดจำเลยทั้ง 5 จะนำเอาเข้ากองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงานซึ่งกำกับโดยมูลนิธิฯ ซึ่งมีการบรรยายว่าจำเลยได้ค่าตอบแทนโดยผู้สั่งซื้อต้องโอนชำระค่าเสื้อเข้าบัญชีกองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน ธ.ไทยพาณิชย์ บัญชีเลขที่ 405-420031-3 และพบว่ามูลนิธิฯโดยตน นายวีรพงษ เกรียงสินยศ เหรัญญิกมูลนิธิฯและนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เป็นผู้ดูแลและได้รับผลประโยชน์จากการเสื้อยืด โดยยืนยันว่าทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง

“การรับบริจาคจากประชาชนทั่วไป การเบิกถอนต้องใช้ชื่อ 2 ใน 3 ของผู้ร่วมเปิดบัญชีภายใต้กฏเกณฑ์ด้านการเงินการบัญชีของมูลนิธิฯที่กำหนดไว้อย่างรอบคอบรัดกุม และมีการทำเสื้อยืดจำหน่ายเพื่อระดมทุนโดยนำรายได้หลักหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดเข้าบัญชี กองทุนประชาชนปฏิรูปพลังงาน รายได้ทั้งหมดถือเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอยู่ภายใต้กรรมการมูลนิธิฯไม่ได้มีการนำกำไรมาแบ่งปันให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่อย่างใด”น.ส.สารีกล่าว

น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติซึ่งถูกปตท.ฟ้องในฐานะได้เสนอและสนับสนุนให้มีการจำหน่ายและแจกจ่างเสื้อยืดด้วยการโพสต์ข้อความสนับสนุนการจำหน่ายในเฟสบุ๊ค ว่ากรณีที่ตนเป็นผู้ที่มีส่วนเข้ามาตรวจสอบความเป็นธรรมาภิบาลโดยเน้นภาครัฐเป็นหลักในกระทรวงพลังงานบางครั้งก็เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้โดยความสมัครใจเหล่านี้ได้ถูกนำมาฟ้องและการฟ้องครั้งนี้ของปตท.ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระเท่าใดนัก

“ถ้าปตท.คิดว่าการฟ้องประชาชนจะลดการตรวจสอบลงคิดว่าเข้าใจผิดโลกที่เจริญแล้วเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคต้องเข้มแข็งและมีประชาชนพลเมืองป้องสิทธิ์ ธรรมาภิบาล พลังงานเองก็เช่นกันเป็นประเด็นที่กระทบประชาชนซึ่งการตรวจสอบอาจกระทบกับผู้ที่ถูกตรวจสอบจึงใช้กระบวนการฟ้องยังยั้ง ซึ่งยิ่งฟ้องประชาชนมากเท่าใดก็เหมือนฟ้องตนเองว่ากำลังยับยั้งการตรวจสอบ ” น.ส.รสนากล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น