ผบ.กกล.รส.แจงชุดดำเนินคดีเหตุปาระเบิดศาลอาญา ควบคุมตัว “แหวน” สอบปากคำหลังถูกพาดพิง ยัน “บิ๊กตู่-บิ๊กโด่ง” กำชับการดำเนินการต้องเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนที่โฆษก ทบ.ปฏิเสธตอนแรกเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่มีการแจ้งมายัง กกล.รส. ด้านทนาย กนส.ยื่นหนังสือ “บิ๊กตู่” ร้องสอบทหารคุมตัว “น้องแหวน”
พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ให้สัมภาษณ์วันนี้ (17 มี.ค.) กล่าวถึงกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารควบคุมตัว น.ส.ณัฎฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน พยาบาลอาสา พยานปากสำคัญคดีการเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามมาสอบสวนว่า ทุกเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารักษาความสงบเรียบร้อย (คสช.) และพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เน้นย้ำโดยตลอดการดำเนินการใดๆ ต้องยึดหลักกฎหมาย พร้อมทั้งใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ ส่วนกรณีของน้องแหวนนั้นเป็นเรื่องการทำงานของชุดดำเนินคดีจากเหตุการณ์ปาระเบิดที่ศาลอาญา ดังนั้นเมื่อดำเนินคดีใครที่เกี่ยวข้องก็ดำเนินการไปเชิญผู้ที่ต้องสงสัย หรือผู้ที่คนร้ายพาดพิงไป เชิญมาเพื่อพูดคุย ถ้าใครไม่เกี่ยวข้องก็ปล่อยตัวไป ถ้าใครเกี่ยวข้องมีหลักฐานชัดเจนก็ส่งดำเนินคดีไปตามกระบวนการยุติธรรม ขอศาลออกหมายจับต่อไป เพราะฉะนั้นเราจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่นอกเหนือกฎหมายทั้งสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีต่อไปถ้าหน่วยทหารใดไปเชิญตัวผู้ต้องสงสัยต้องเปิดเผยให้ชัดเจนใช่หรือไม่ พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า เราเน้นย้ำอยู่แล้ว ถ้าทุกหน่วยเข้าไปในพื้นที่ กกล.รส.ก็ต้องแจ้งให้รับทราบว่าได้เข้ามาทำงานในพื้นที่ เป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไป ยกเว้นกรณีที่เกวงว่าผู้ที่ต้องสงสัยยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา บางทีเป็นเรื่องลับมากก็ต้องดำเนินการไป แต่สุดท้ายก็ต้องแจ้งมาที่ กกล.รส.รับทราบ อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าเหลีกเลี่ยงอย่างเต็มที่จะไม่ใช้กฎอัยการศึก เพียงแต่จะใช้กฎหมายปกติเท่านั้น
ส่วนที่โฆษกกองทัพบกออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมาว่า เจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้ควบคุมตัวน้องแหวน พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า เป็นปกติที่จะต้องสอบถามไปยังหน่วยต่างๆ ซึ่งมีหลายหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานชัดเจน ไม่ใช่หมายถึง กกล.รส.เพียงอย่างเดียว ในโครงสร้าง คสช.ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่จะต้องรักษาความมั่นคง เพราะฉะนั้นการที่โฆษกกองทัพบกออกมาชี้แจงนั้น หมายความว่าได้มีการตรวจสอบกับ กกล.รส.แล้วพบว่าอาจจะไม่มีเพราะยังไม่ได้มีการแจ้งมา จึงยังไม่รู้ จึงไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มีการควบคุมตัว
“อย่างไรก็ตาม ท่านนายกฯ และผบ.ทบ.ได้ให้นโยบายชัดเจนขึ้นว่า ผบ.กกล.รส. อาจจะต้องรู้ทุกเรื่องในการเข้าไปทำงานพื้นที่ต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสน อีกทั้งยังทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความสบายใจ ถ้ามีการดำเนินการใดๆ ทางหน่วยนั้นๆ ก็ต้องชี้แจงมาก่อน เพราะฉะนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนถ้ามีการไปเชิญตัวต้องชี้แจงว่าเป็นหน่วยไหน สามารถติดต่อได้ที่นี้ ไม่ใช่ให้ไปอุ้ม มันไม่ได้” ผบ.กกล.รส.กล่าว
พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า การจะเชิญใครมาอีกหรือไม่นั้น ตนคิดว่าอย่างที่บอกว่าเพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความมั่นคงก็ต้องมั่นคง มีการพูดคุย ไม่จำเป็นต้องเชิญ เพียงแต่ขอสร้างความเข้าใจ และบอกว่าอย่างนี้ไม่ทำได้หรือไม่ ถ้าทำแล้วเกิดผลเสีย จะทำให้สังคมแตกแยก ทำให้คนทะเลาะกัน และขอสร้างความเข้าใจร่วมกัน ทั้งนี้ขอเน้นย้ำกับสื่อมวลชนว่าสื่อต้องช่วยสร้างความเข้าใจกับสังคม เพราะประเทศต้องการความร่วมมือ ความรัก ความสามัคคีเพื่อนำพาประเทศชาติเดินต่อไปข้างหน้าได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การควบคุมตัวน้องแหวน ผู้ซึ่งเป็นพยานสำคัญในเหตุการณ์ 6 ศพวัดปทุมวนารามฯ แล้วเชื่อมโยงไปยังเหตุการณ์ปาระเบิดศาลอาญา เป็นการทำลายความเชื่อถือของพยานหรือไม่ พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า ต้องไปถามตำรวจ เพราะอยู่ในกระบวนการว่ามีการพาดพิงถึงใครบ้างก็เป็นกระบวนการปกติที่ตำรวจสงสัยก็ต้องไปเชิญตัวมาสอบถาม เพราะทุกอย่างว่าไปตามพยานหลักฐานว่าเชื่อมโยงถึงใครก็ไปดำเนินการ ไม่ใช่เป็นเรื่องมั่วๆ
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวเรื่องเดียวกันว่า จากการประสานข้อมูลกับ กกล.รส.วานนี้ในเบื้องต้นยังไม่พบรายละเอียดมากนัก แต่หลังติดตามข้อมูลเพิ่มเติมกับชุดทีมงานดูแลคดีสำคัญของหน่วยงานอื่นๆ จึงได้รับข้อมูลว่าอาจมีเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคดีความมั่นคงสำคัญของทหารและตำรวจเป็นผู้ไปเชิญตัวน้องแหวนไปเพื่อให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทำงานในชุดสืบสวนคดีสำคัญได้ไปพบข้อมูลความเชื่อมโยงสำคัญบางอย่างที่เกี่ยวกับคดีความมั่นคงที่กำลังสืบอยู่ในขณะนี้ที่คาดว่าน้องแหวนอาจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการคลี่คลายคดี เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องขอเชิญน้องแหวนไปเพื่อไปให้ข้อมูล ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับกรณีเหตุที่วัดปทุมวนารามฯ เพราะคดีดังกล่าวจบไปแล้ว
วันเดียวกัน ที่บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพบก นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) และทนายความ เดินทางมายื่นหนังสื่อพร้อมภาพถ่าย น.ส.ณัฎฐธิดา ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ การควบคุมตัวและการหายตัวไปของ น.ส.ณัฎฐธิดา พยาบาลอาสาและพยานปากสำคัญคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม โดยมี พ.อ.อภิชิต ภิญโญชีพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก เป็นผู้แทนมารับมอบหนังสือ
นายวิญญัติกล่าวว่า มีบุคคลพบเห็นว่ามีกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารที่อ้างตนเป็นนายทหารพระธรรมนูญ 2 นาย และนอกเครื่องแบบอีก 3 นาย เดินทางไปรับตัว น.ส.ณัฎฐธิดา จากบ้านพัก ที่จ.สมุทรปราการ เมื่อเวลา 15.30 น.ของวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยแจ้งว่าใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก แต่ไม่ได้แจ้งสาเหตุและวัตถุประสงค์ในการควบคุมตัวครั้งนี้ ตลอดจนถึงสถานที่ควบคุมตัว จนกระทั่งในวันนี้เจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัว น.ส.ณัฎฐธิดา ไม่ส่งมอบให้แก่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
นายวิญญัติกล่าวว่า ในนามของกลุ่ม กนส.และในฐานะทนายความของญาติผู้เกี่ยวข้อง มีความวิตกกังวลต่อความปลอดภัย อิสรภาพ เสรีภาพ และชีวิตของ น.ส.ณัฎฐธิดา จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตลอดจนถึงผู้เกี่ยวข้องได้สั่งการให้มีการตรวจสอบ สืบสวนสอบสวนการดำเนินการดังกล่าวอย่างรีบด่วนและจริงจัง เพื่อชี้แจงถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารกลุ่มดังกล่าว ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ คสช. และความมั่นคงในชีวิตและความสงบสุขของประชาชนในประเทศ
“น.ส.ณัฎฐธิดาถือเป็นพยานปากเอกในคดี 6 ศพวัดปทุมฯ เพราะคดีนั้นอยู่ในกระบวนการ และอาจจะมีการพิจารณาในอนาคต จึงจำเป็นต้องได้รับความคุ้มครอง อยากให้ คสช.ได้ตรวจสอบว่าการดำเนินดังกล่าวเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ตลอดจนการใช้อำนาจตามอำเภอใจ เราในฐานะกลุ่ม กนส.มีความกังวลเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมา น.ส.ณัฎฐธิดาไม่มีพฤติกรรมต่อต้านหรือละเมิดคำสั่งของ คสช. แต่อย่างใด ส่วนกรณีที่ พ.อ.วินธัยออกมาชี้แจงว่าเหตุที่ต้องเชิญตัว น.ส.ณัฎฐธิดา เพราะมีความเชื่อมโยงกับคดีด้านความมั่นคงนั้น อย่างน้อยก็ต้องแจ้งให้ญาติของ น.ส.ณัฎฐธิดาได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้น ที่ผ่านมา 7 วันแล้วไม่มีการแจ้งถึงสถานที่ควบคุมตัว รวมถึงข้อหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ คสช.ควรทำอะไรแบบตรงไปตรงมา เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดและคุกคามประชาชน”