ป.ป.ช. ยอมรับมติ สนช. ไม่ถอดถอนอดีต 38 ส.ว. “วิชัย” ชี้การสิ้นไปของ รธน. 50 ไม่เป็นปัญหา “สนช.” เพียงพิจารณาว่า “อดีตสมาชิกวุฒิสภา” ที่ถูกกล่าวหากระทำผิดหรือไม่ โดยไม่ติดค้างอยู่กับเขตอำนาจพิจารณา ซึ่งยุติไปแล้ว
วันนี้ (12 มี.ค.) นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. ให้ความเห็นกรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติด้วยเสียงไม่ถึงสามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่อยู่ของสภา ให้ถอดถอนอดีตสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 38 คน ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. น้อมรับมติดังกล่าว โดยชี้ว่า ตามพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 65 บัญญัติให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอิสระในการออกเสียง
แม้ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะมีมติด้วยเสียงไม่ถึงสามในห้าให้ถอดถอนอดีตสมาชิกวุฒิสภาทั้ง 38 คน ออกจากตำแหน่ง แต่กระบวนการขอให้ถอดถอนอดีตสมาชิกวุฒิสภาทั้ง 38 คน ออกจากตำแหน่ง ที่มีการดำเนินการมาแต่ต้น ก็เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประชาธิปไตย คือ การยื่นคำร้องขอให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตลอดจนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ถือเป็นการให้การเรียนรู้แก่ประชาชนที่จะได้ตระหนักถึงความสำคัญของกลไกการถ่วงดุลและคานอำนาจเสียงข้างมากทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้
นายวิชัย กล่าวอีกว่า ประวัติศาสตร์การพัฒนาประชาธิปไตยตลอดแปดทศวรรษที่ผ่านมาแล้วคนไทยเข้าใจประชาธิปไตยด้านเดียว คือ ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งหรือเสียงข้างมาก ส่วนการเหนี่ยวรั้งเสียงข้างมากไม่ให้ใช้อำนาจบาตรใหญ่และการคุ้มครองเสียงข้างน้อยให้มีที่อยู่ที่ยืนพอสมควร ซึ่งเป็นองค์ประกอบ ส่วนที่เป็นหัวใจของประชาธิปไตยเช่นกัน เกือบไม่ได้เข้าสู่การรับรู้ของคนไทย กระบวนการถอดถอนอย่างการขอให้ถอดถอนอดีตสมาชิกวุฒิสภาออกจากตำแหน่งกรณีนี้จะให้การเรียนรู้แก่คนไทยในสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของประชาธิปไตย
ต่อคำถามว่า การสิ้นไปของรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลต่อการลงมติของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือไม่ นายวิชัย กล่าวว่า กระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่งตามกฎหมายปัจจุบันต้องแยกกันระหว่าง “เขตอำนาจพิจารณา” ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในฐานะวุฒิสภาอย่างหนึ่งกับเนื้อหาของกรณีกล่าวหาว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติรั ฐธรรมนูญโดยจงใจหรือไม่อีกอย่างหนึ่ง
“ข้อที่ว่าเมื่อรัฐธรรมนูญ 2550 สิ้นผลไปแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงหรือไม่ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติในฐานะวุฒิสภาจะมีอำนาจพิจารณาหรือไม่ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติรับกรณีขอให้ถอดถอนทำนองนี้ไว้พิจารณาหลายกรณีแล้ว ปัญหาเรื่องเขตอำนาจพิจารณาจึงไม่มีอีกแล้ว การออกเสียง
ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่าจะถอดถอนหรือไม่ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องพิจารณาเพียงว่าอดีตสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกกล่าวหากระทำผิดหรือไม่ โดยไม่ติดค้างอยู่กับเขตอำนาจพิจารณาซึ่งยุติไปแล้ว” นายวิชัย ให้ความเห็น
นายวิชัย กล่าวต่อว่า มติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ยืนยันถึงเขตอำนาจพิจารณาของสภาดังกล่าวนี้ บัดนี้มีคำพิพากษาฎีกาสนับสนุน คือ ฎีกาที่ อม.30/2557 ระหว่าง อัยการสูงสุด ผู้ร้อง นางสาวนฤมล นนทะโชติ ผู้ถูกกล่าวหา เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มีการดำรงอยู่เป็นอิสระจากกัน แม้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญสิ้นผลไปแล้ว อัยการสูงสุดผู้ร้องก็ยังสามารถอาศัยบทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญร้องขอให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ จากมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคำพิพากษาฎีกานี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะยกกรณีกล่าวหาทำนองนี้ที่ค้างอยู่มาดำเนินการต่อไป