ประธาน คกก.ปฏิรูปพุทธศาสนา หนุนตาม “วิษณุ” ให้คณะสงฆ์ตัดสินปัญหากันเอง แต่ยันพระลิขิต 42 “ธัมมชโย” ปาราชิกของจริง จับตา มส.จะทำอย่างไร ลั่นรับปกป้องศาสนา ไร้เจตนาอื่น ฉะโฆษก พศ.ทำตัวเป็นสงฆ์ ตีความพระลิขิตบิดเบือน ลั่นเดินหน้าสอบโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ไปบริจาคธรรมกาย ปลุก มส.ทำบัญชีเรียกความเชื่อมั่นศาสนา
วันนี้ (25 ก.พ.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์ กิจการพระพุทธศาสนา สปช. กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฝ่ายกฎหมายระบุว่า ปัญหาศาสนจักรและพระธัมมชโยเป็นปัญหาที่คณะสงฆ์จะไปตัดสินกันเองว่า ตนเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องของมหาเถรสมาคม (มส.) ที่ตนออกมากล่าวถึงก็เพราะมีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช และมติของ มส.เมื่อปี 2542 ที่รับรองพระลิขิตทั้งหมดว่า เป็นของจริง ขณะนี้จึงยังต้องฟังดูว่า มติของ มส.ในปี 2558 ที่ออกมาและที่ประชุม มส.ชุดปัจจุบันจะดำเนินการอย่างไรต่อมติของ มส.เมื่อปี 2542 และพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ
“พระลิขิตทั้งหมดมี 5 ฉบับแบ่งเป็นฉบับ 1-2 ที่พูดถึงเรื่องดังกล่าว แต่ไม่มีตราพระนามย่อของพระองค์ท่าน ถือได้ว่าเป็นเอกสารส่วนพระองค์ แต่ฉบับที่ 3-5 เป็นพระลิขิตที่เป็นเอกสารอย่างเป็นทางการที่ทรงระบุชัดเจนต่อกรณีปัญหานี้ และผมยืนยันว่าการทำงานของกรรมการที่ผมเป็นประธานฯเป็นการศึกษาวิเคราะห์ เพื่อปฏิรูปและปกป้องพระศาสนา ไม่มีเจตนาอื่นใด” นายไพบูลย์กล่าว
เมื่อถามว่า นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักพระพุทธศาสนา (พศ.) ออกมาระบุว่า พระธัมมชโยคืนทรัพย์ให้วัดแล้วไม่มีความผิด เพราะทรัพย์นั้นเป็นชื่อของพระธัมมชโย ไม่ใช่ชื่อวัด แต่พระลิขิตระบุชัดว่าการได้ทรัพย์ขณะที่เป็นพระก็ต้องคืนให้วัด นายไพบูลย์กล่าวว่า เรื่องนี้คงเป็นหน้าที่ของนายวิษณุ และนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักฯ ที่ดูแลสำนักพระพุทธศาสนาจะเป็นผู้ดำเนินการ เพราะพฤติกรรมที่นายสมชายกำลังทำอยู่เหมือนทำตัวเป็นสงฆ์เสียเอง ทั้งที่ควรจะเงียบเสียที และตอบให้ได้ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อมติ มส.ปี 2542 ที่ยังไม่ได้ดำเนินการ หากจะออกมาก็ควรจะมีหลักฐานอ้างอิงไม่ใช่ใช้ดุลพินิจตัวเองตีความพระลิขิต หรือชี้แจงแทนคณะสงฆ์ โดยการแทรกแซงให้ความเห็นที่บิดเบือน และขัดต่อนโยบายของนายวิษณุ
นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ยืนยันว่ากรรมการฯ ชุดตนจะเดินหน้าศึกษาวิเคราะห์กรณีบริจาคเงินทุจริตของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ที่ฉ้อโกงเงินประชาชน และนำไปบริจาคให้วัดและพระสงฆ์ ทั้งนี้ยังคาดหวังว่ากรรมการใน มส.จะใช้โอกาสนี้เพื่อวางมาตรการปกป้องพระพุทธศาสนา เพราะเห็นช่องโหว่แล้ว อยากเห็นพระผู้ใหญ่ใน มส.จะเป็นผู้นำที่กล้าหาญในการทำบัญชีทรัพย์สินของวัดและของพระเถระประกาศให้สังคมให้รับทราบเพื่อเป็นตัวอย่างกับพระที่อยู่ในปกครอง เพื่อความโปร่งใส และเรียกคืนความเชื่อมั่นศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาว่า พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติชอบได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า คือ ผู้เป็นพระไม่สะสมทรัพย์สมบัติใดๆ ก็จะเป็นเรื่องดี