xs
xsm
sm
md
lg

กมธ.ยกร่างฯ เปิดทางกลุ่มการเมืองลงเลือกตั้ง แต่ห้ามสมัครอิสระ วาง ส.ส.450-470 คน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (แฟ้มภาพ)
กมธ.ยกร่างฯ ให้กลุ่มการเมือง และส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งได้ ไม่จำเป็นต้องตั้งพรรค มีเงื่อนไขน้อยกว่า แก้ปัญหาเป็นฐานกลุ่มทุนก่อปัญหา เอื้อเลือกตั้งแบบผสม ให้พรรคเล็กมีตัวแทน แต่ห้ามไม่มีลงสมัครอิสระ พร้อมเพิ่มหลักประกันผลักดัน กม.ที่กำหนดเวลาไว้ นิ่งเฉยมีโทษ และขยายเงื่อนไข ให้รอง ปธ.รัฐสภานั่งแทน ปธ.ช่วงยุบสภาได้ พร้อมกำหนดตัวเลข ส.ส.450-470 คน ยันไม่มีล็อบบี้

วันนี้ (24 ก.พ.) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ วาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เป็นวันที่ 22 ได้พิจารณาบทบัญญัติภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้นำการเมืองที่ดี ในหมวด 3 ว่าด้วยรัฐสภา เริ่มต้นจากมาตรา 78 ว่าด้วยสภาผู้แทนราษฎร โดยอนุ กมธ.พิจารณายกร่างบทบัญญัติเป็นรายมาตรา นำความจากมาตรา 93 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาพิจารณา แต่ปรับสาระสำคัญ คือ สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 450 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 250 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม จำนวน 200 คน จากเดิมที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 กำหนดให้มี ส.ส.จำนวน 500 คน มาจากแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน

นอกจากนั้น ได้ปรับเกณฑ์ ส.ส.ที่ประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎรและสามารถเปิดประชุมสภาฯ เป็นร้อยละ 85 จากเดิมที่ใช้เกณฑ์ร้อยละ 95 ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการอภิปรายและขอให้แก้ไขบทบัญญัติที่เสนอเพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่อาจก่อให้เกิดการตีความ โดยเฉพาะระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ที่ต้องนำคะแนนนิยมที่แท้จริงของประชาชนผู้มาลงเลือกตั้ง ที่อาจทำให้ได้จำนวน ส.ส.ที่เกินจากที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้มี 450 คน ไปอีก 20 คน

ทั้งนี้ มีผู้ที่เสนอให้ปรับจำนวน ส.ส.เขตให้เป็น 300 คน และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 150 คนโดยให้เป็นไปตามข้อเสนอของภาคประชาชนและพรรคการเมืองที่ต้องการให้ ส.ส.เขตที่เข้าถึงประชาชนและพื้นที่ให้มากกว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อซึ่งเป็นระบบที่ทำให้เกิดกลุ่มนายทุนพรรคการเมืองใช้เป็นช่องทางหาผลประโยชน์ ทั้งนี้ในประเด็นดังกล่าว กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรปรับตัวเลข ส.ส.ที่ได้คุยกันไว้ในหลักการ เพราะอาจเกิดผลกระทบต่อการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมที่ใช้การคำนวณจำนวน ส.ส.ตามคะแนนนิยมที่แท้จริงของประชาชน อีกทั้งต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหานายทุนพรรคการเมืองไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง

ขณะที่ประเด็นดังกล่าวได้ใช้เวลาอภิปรายกันนานกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อชี้แจงในรายละเอียดหลังจากที่มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุออกมาว่าการพยายามแก้ไขสัดส่วน ส.ส.ดังกล่าวนั้นมาจากการล็อบบี้ของนักการเมือง ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอแก้ไขยืนยันว่าไม่มีการล็อบบี้ แต่เป็นการวิเคราะห์จากเหตุผลทางวิชาการ

นอกจากนั้น ที่ประชุมได้มีการหารือถึงรายละเอียดในความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมกลับไปเป็นการเลือกตั้งแบบเดิมที่ใช้เมื่อปี 2550 แต่ได้รับการทักท้วงว่าการเลือกตั้งแบบเดิมไม่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง แต่การเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมซึ่งแนวโน้มจะได้รัฐบาลผสม จะทำให้เกิดความปรองดองเป็นรัฐบาลปรองดองที่เหมาะสมกับสภาพสังคมที่มีความขัดแย้งในปัจจุบัน รวมถึงคะแนนเสียงของประชาชนทุกคนได้ ไม่ถูกตัดทิ้ง ถือเป็นการให้ความสำคัญของประชาชน และการสะท้อนคะแนนที่แท้จริงดังกล่าวจะทำให้ได้ ส.ส.ในสภาที่ตรงกับความเป็นจริง โดยมีการยอมรับว่าหากใช้วิธีเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นอีก 50 คนจากบัญชีรายชื่อภาคใต้หากคิดตามคะแนนนิยมในการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา

ในการสรุปตอนท้าย ที่ประชุมจึงได้มีมติว่าให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย สมาชิกไม่น้อยกว่า 450 คน แต่ไม่เกิน 470 คน โดยเป็นสมาชิกจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 250 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ไม่น้อยกว่า 200 คน แต่ไม่เกิน 220 คน

ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่าที่ประชุม ได้พิจารณาในภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี ในหมวดของพรรคการเมือง และรัฐสภา โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ เปิดช่องให้กลุ่มสมาคม หรือผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันด้านใดด้านหนึ่ง สามารถรวมตัวเป็นกลุ่มการเมืองจดทะเบียนต่อคณะกรรมการเลือกตั้งแล้วสามารถส่งผู้สมัครเข้าสู่การเลือกตั้งได้

“รัฐธรรมนูญฉบับก่อนบังคับให้ผู้สมัครต้องสังกัดพรรค แต่ฉบับนี้จะเปิดโอกาสให้มีกลุ่มการเมืองซึ่งหมายถึงจัดตั้งโดยคณะบุคคลที่รวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองเดียวกันและจดแจ้งไว้กับ กกต.สามารถส่งผู้สมัครได้ทั้งระบบบัญชีและเขตเลือกตั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในภาคประชาสังคมมีผู้แทนฯ เข้าไปในสภาได้โดยไม่จำเป็นต้องตั้งพรรคการเมืองซึ่งมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่า” นายคำนูณกล่าว

นายคำนูณกล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้เพิ่มหลักประกันกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องตรา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.บ.ภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ถูกเพิกเฉยบ่ายเบี่ยง ด้วยการกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสนอหรือพิจารณากฎหมายนั้นต้องรับผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอาญามาตรา 157 และหากเกิดความเสียหาย ผู้เสียหายสามารถฟ้องรัฐให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้

“คณะผู้ยกร่างเองก็ต้องพยายามทำกฎหมายลูกหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เสร็จก่อน แต่ก็ยังมีกรณีที่ต้องมีผู้ทำหน้าที่เสนอกฎหมายต่อ ซึ่งอาจหมายถึงรัฐบาลใหม่ ข้าราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีความรับผิดชอบต่อการผลักดันกฎหมายที่กำหนดเวลาออกโดยรัฐธรรมนูญ” นายคำนูณกล่าว

นายคำนูณกล่าวด้วยว่า กรรมาธิการยกร่างฯ ยังได้ขยายเงื่อนไขของการเป็นประธานรัฐสภา กรณีประธานสภาผู้แทนฯ ซึ่งเป็นประธานรัฐสภา กับประธานวุฒิสภาซึ่งเป็นรองประธานรัฐสภาไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เหมือนอย่างกรณีที่ผ่านมาตอนที่ยุบสภาแล้ว ปรากฏว่านายนิคม ไวยรัชพานิช ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็จะมีทางออกด้วยการให้รองประธานสภาผู้แทนฯ และรองประธานวุฒิสภาสามารถทำหน้าที่ประธานรัฐสภาได้

ด้านนายบรรเจิด สิงคะเนติ กมธ.ยกร่างฯ ชี้แจงเหตุผลให้กลุ่มการเมืองสามารถส่งผู้สมัคร ส.ส.ได้ว่า ในอดีตพอเราบังคับให้ผู้สมัครต้องสังกัดพรรค กลับกลายเป็นว่าพรรคการเมืองกลายเป็นฐานของกลุ่มทุนและก่อปัญหากับระบบการเมืองไทย จึงเปิดพื้นที่ให้มีกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์แนวคิดตรงกัน หรือมีผลประโยชน์ทางอาชีพเดียวกันที่จะพัฒนาไปเป็นพรรคการเมืองในอนาคต ประกอบกับระบบการเลือกตั้งแบบผสม หรือ MMP จะเอื้อให้พรรคเล็กหรือกลุ่มมีตัวแทนในสภาได้

“พรรคการเมืองจะเข้มแข็งโดยการเขียนกฎหมายให้เข้มแข็งไม่ได้ แต่ต้องมาจากพัฒนาการของกลุ่มการเมืองมาเป็นพรรคการเมือง โดยเงื่อนไขของกลุ่มการเมืองจะมีความเข้มข้นน้อยกว่า เช่น ไม่ต้องมีเกณฑ์จำนวนสมาชิก จำนวนสาขาขั้นต่ำ แต่ก็ต้องมีโครงสร้างในระบบกฎหมาย เช่น เป็นนิติบุคคล มีระบบสมาชิก มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง” นายบรรเจิดกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนประเด็นผู้สมัครอิสระที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯ ได้มีข้อยุติว่าการเลือกตั้ง ส.ส.จะไม่เปิดให้ลงสมัครในนามอิสระได้


กำลังโหลดความคิดเห็น